ผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 ต่อผิวและสิว และวิธีรับมือด้วยแนวธรรมชาติ
จากจุดเริ่มต้นของการแชร์ข้อมูลของคนในครอบครัวในกลุ่ม Line ครอบครัว บีมได้ตามไปดูคลิปและอ่านข้อมูลของวิกฤตินี้ในเว็บต่อ ทำให้เข้าใจสภาพปัญหาและความเชื่อมโยงต่อประชากรที่ยังมีปัญหาสิวทุกคน จึงได้ไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมทั้งไทยและอังกฤษ โดยคัดเลือกจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ วันนี้ขอสรุปเป็นข้อมูลแบบคนที่ไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์มาเข้าใจได้ให้ฟังกันนะคะ ว่าฝุ่นนี้มันเกี่ยวกับสิวและผิวยังไงบ้าง และจะมีวิธีดูแลตัวเองให้รอดปลอดภัยและดูแลผิวให้ยังคงมีสุขภาพดีขณะที่ต้องเจอมลภาวะเช่นนี้อย่างไรบ้าง?
สภาพปัญหาฝุ่น PM2.5
จริง ๆ แล้ว ปัญหานี้พูดถึงกันมาหลายปีแล้ว เป็นปัญหาของมลพิษทางอากาศที่เพิ่มสูงขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ทั้งหลาย เช่น การผลิตพลังงานไฟฟ้า การเผาถ่าน การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ พูดง่าย ๆ ว่า ตั้งแต่มนุษย์เข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เริ่มต้นจากประเทศอังกฤษเมื่อราว ๆ ปี ค.ศ. 1760 - 1850 เป็นต้นมา การที่โลกเข้าสู่ยุคใหม่ ก็ทำให้มีของเสียจากการผลิตแบบอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น และยังรวมไปถึงการเผาป่า เผาไร่ เผานา ด้วย
จริง ๆ แล้วฝุ่นละอองที่ปนเปื้อนในอากาศมีหลายขนาด แต่ที่มีการศึกษาและจับตามองมากที่สุดคือ ฝุ่นขนาด 2.5 ไมครอน ซึ่งเล็กมากกว่าเส้นผมหลายเท่านัก จนขนจมูกกรองไม่ได้ พอหายใจเข้าไป พูดง่าย ๆ คือ ทะลุปลายปอดเข้าเส้นเลือดแดงไปเลย ไม่โดนคัดกรองอะไรเลยนั่นเอง
นั่นคือ การรับพิษจากจมูก ปาก เข้าหลอดลม ปอด แล้วเข้าสู่กระแสเลือด
มันมีอีกช่องทางคือ เข้าไปทางผิวหนังและก่อให้เกิดความเสียหายในระดับผิวหนังได้ไม่แพ้รังสี UVA และ UVB และรังสีอีกมากมายที่เราไม่รู้จักชื่อ ซึ่งเฉพาะ 2 อันนี้ก็แย่แล้ว
ความเสียหายระดับผิวหนัง
สำหรับที่ผิวหนังนั้น หลัก ๆ แล้ว ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะกลไกที่ชื่อว่า Oxidative Stress หรือ ภาวะเครียดที่เกิดจากออกซิเดชั่น ซึ่งเป็นปฏิกิริยาเดียวกับที่ แอปเปิ้ลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหลังสัมผัสอากาศสักระยะนั่นเอง แต่มันเกิดที่ผิวหนังของเรา ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ กับผิว ซึ่งในส่วนของฝุ่น 2.5 ไมครอนกับผิวนี้จะเป็นลักษณะของ DNA ของเซลล์ผิวถูกทำลาย ไขมันที่เยื่อหุ้มผนังเซลล์เสื่อมและถูกทำลาย โปรตีนในผิวถูกทำลาย
- DNA ของเซลล์ผิวถูกทำลาย - ทำให้แม่พิมพ์ของเซลล์ผิวเสียหาย เซลล์ที่ถูกผลิตใหม่พิการและผิดปกติ ไม่สมบูรณ์แข็งแรง
- ไขมันที่เยื่อหุ้มผนังเซลล์เสื่อมและถูกทำลาย - กำแพงผิวอ่อนแอ ผิวขาดน้ำ เหี่ยว กร้าน แห้ง
- โปรตีนในผิวถูกทำลาย - คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อม รูขุมขนกว้าง ผิวมีริ้วรอยก่อนวัย สมานตัวเองช้า
ความเสียหายระดับสุขภาพ
จากการอ่านข้อมูลมาทั้งหมด สรุปให้ได้ว่า ฝุ่นชนิดนี้ จะตรงเข้าสู่กระแสเลือดและทำให้เซลล์หลอดเลือดเกิดการอักเสบ เวลาหลอดเลือดอักเสบ จะทำให้เกิดปัญหากลุ่มเดียวกับโรคเรื้อรังที่เกิดจากพฤติกรรม คือ เบาหวาน ความดันสูง ไขมัน อัมพฤกษ์ อัมพาตย์ อัลไซเมอร์ และแน่นอนว่า สิวก็คือเบาหวานประเภทหนึ่ง ซึ่งแม้ยังไม่มีวิจัยทางการแพทย์รองรับ แต่ผลการศึกษาของกลุ่มคนเป็นสิวที่หันมาใช้แนวทางเลือก มีชุดข้อมูลเดียวกันและใช้ได้ผลเหมือนกัน คือ การเป็นสิวคือ ภาวะที่ร่างกายมีพิษสะสม ลำไส้เสียสมดุล ไขมันพอกตับ มีภาวะดื้ออินซูลิน และการอักเสบชนิดเรื้อรัง นั่นคือ เรื่องเดียวกับโรคเรื้อรังทุกโรคนั่นเอง แต่มีความใกล้เคียงกับเบาหวานมากที่สุด
ในกระทบนอก
ดังนั้น เมื่อฝุ่นชนิดนี้ กระทบต่อผิวและเข้าสู่ภายในร่างกาย ผลกระทบหลัก ๆ คือ ทำให้เกิดภาวะการอักเสบแบบยกระดับ เหมือนขึ้นทางด่วน คือ ปกติคนที่เป็นสิวและผิวแพ้ง่าย จะมีภาวะเหล่านี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คือ อักเสบอยู่แล้ว ถ้ายังไม่เคยรักษาตัวเองแนวธรรมชาติ ไม่ปรับสมดุล ไม่ล้างพิษมาก่อน พอมาเจอสภาวะฝุ่นนี้ คือ สิวและผิวจะยิ่งแย่ แบบที่ "จู่ๆเป็นขึ้นมา ไม่รู้เพราะอะไร???" อะไรที่เคยเป็นอาจจะกำเริบ อะไรที่ไม่เคยเป็นอาจจะได้เจอ เพราะไฟร้อนจากพิษ จากการอักเสบเพิ่มสูงขึ้นสูงในระยะเวลาสั้น ๆ
ภาวะเสียสมดุลจากการร้อนเกิน สามารถศึกษาได้หนังสือ บล็อก เว็บไซท์ YouTube แหล่งข้อมูลของ ดร.ใจเพชร มีทรัพย์ โดยค้นหาในกูเกิ้ลว่า "ภาวะร้อนเกิน หมอเขียว" ได้เลยค่ะ
น่าจะพอเข้าใจปัญหากันแล้วนะคะ ว่าเจ้าฝุ่นจิ๋วนี้ส่งผลต่อสุขภาพและผิวของเราอย่างไรบ้าง
รับมือกับมันอย่างไรดี?
จุดนี้ บีมจะขอแนะนำการรับมือฝุ่นนี้ ในแบบฉบับที่บีมจะใช้เองถ้าต้องเจอภาวะนี้ค่ะ ซึ่งบีมอ้างอิงกับหลักอายุรเวท ธรรมชาติบำบัด และแพทย์ทางเลือกนะคะ สรุปจากประสบการณ์ของตัวเองที่จะใช้เองดังนี้ (ถ้าต้องเจอฝุ่นนี้)
ใช้หลัก "เย็น" ลด "ร้อน" เอา "น้ำ" ลด "ไฟ" (หลักปรับสมดุล) เป็นหลัก
สิ่งที่บีมจะทำ คือ รักษาธาตุให้สมดุล ป้องกันและลดผลกระทบจากการอักเสบของเซลล์ทั่วร่างกาย (ผิวและภายใน)
ผิว
- ใช้เครื่องสำอางดูแลผิวที่ทำให้ผิวอิ่มน้ำและเย็นเข้าไว้ (กลุ่มต้านการอักเสบ) เช่น ฉีดน้ำแร่ บำรุงด้วยอโลเย็น ๆ เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงตัวที่เป็นกรด มีค่า pH ต่ำเกินไป ทุกชนิด
- ไม่ขัดผิวรุนแรงจนกำแพงผิวถลอกเสียหาย
- ไม่ใช้ยาทุกชนิดกับผิว
- ใช้ความอุ่นเปิดรูขุมขน เพื่อให้พิษคายออกมาได้ดีขึ้นจากเซลล์ผิว แล้วปิดด้วยน้ำเย็น
- ใช้มาส์กดีท็อกซ์ผิว เพื่อซับพิษตกค้างออกจากเซลล์ผิว
- เลือกเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระและฟื้นฟูเซลล์ผิวในระดับ DNA ขณะที่เราหลับ
- เน้นการใช้เครื่องสำอางที่เสริมความแข็งแรงของเซลล์และกำแพงผิว
ภายใน
- ดื่มน้ำอุ่นตามหลักของหนังสือ น้ำอุ่นธรรมดา 1 แก้วในตอนเช้า ที่ดื่มแล้วไม่ธรรมดา
- ป้องกันไม่ให้ตัวเองท้องผูก ต้องขับถ่ายเป็นปกติทุกวัน เพื่อป้องกันการสะสมของความร้อนและพิษในตัว
- อบตัว กัวซา นวดน้ำเหลือง ช่วยระบายพิษ
- อาบน้ำอุ่นสลับเย็น เพื่อเร่งการบีบตัวของระบบน้ำเหลืองให้เดินและกำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น
- เปิดเพลงสปาเย็น ๆ เพลงบรรเลงอะไรก็ได้ที่ฟังแล้วเย็นใจ
- งดเว้นการฟังเพลงหรือดูหนังกระตุ้นอารมณ์ทางลบทุกประเภท
- หลีกเลี่ยงการอยู่กับคนอารมณ์ลบ ๆ หดหู่ บ่น และโมโหง่าย
- งดการกินอาหารที่เพิ่มความร้อนและการอักเสบ เช่น ปิ้ง ย่าง ทอดน้ำมัน อาหารที่ตัวเองแพ้ทุกประเภท
- กินอาหารกลุ่มต้านอนุมูลอิสระสูง ๆ มาก ๆ เข้าไว้ พวกนี้จะอยู่ในผักผลไม้ปลอดสารค่ะ เอามาปั่น ๆ สด ๆ ดื่มเยอะ ๆ หรือลวกจิ้มน้ำพริกก็ได้ค่ะ สลับ ๆ กันไป
มีคำแนะนำจากเว็บของ Harvard ว่า ให้หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมต่าง ๆ บนถนนช่วงที่มีมลภาวะนี้มาก หลายคนชอบวิ่งข้างถนน อันนี้ไม่ควรทำอย่างยิ่ง!!! ควรวิ่งในที่อากาศบริสุทธิ์เท่านั้นนะคะ ไม่งั้นจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
สุดท้ายมีคลิปอาหารต้านพิษจากฝุ่น PM2.5 มาฝากค่ะ (กินอะไรให้รอดปลอดภัยและผิวยังดีช่วงวิกฤติฝุ่นนี้)
แนะวิธีกินอาหารรับมือ #ฝุ่นPM2.5 ลดพิษร้อน ต้านสิว ต้านการอักเสบ | #บีมซีเคร็ต
ขอให้ทุกคนปลอดภัยและมีสุขภาพแข็งแรง ๆ ผ่านพ้นวิกฤติฝุ่นไปได้อย่างสวยงามนะคะ
ด้วยรัก
#บีมซีเคร็ต
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
ความคิดเห็น