จบปัญหาผิวและสิว ด้วยหลัก 20/80

80:20-egg-2000

จบปัญหาผิวได้แน่ ถ้าตั้งใจแก้ที่ 20% (กฎ PARETO 20/80)

กฎ 20/80 ของพาเรโต เป็นกฎที่ว่าด้วยการมุ่งทำบางสิ่งที่ “สำคัญจริงๆ” ที่จะเป็น “เหตุ” ที่นำไปสู่ “ผล” ที่เราต้องการได้ โดยใช้พลังงานและทรัพยากรน้อยที่สุด ในความจริงของธรรมชาติ คือ เราจะพบว่า สิ่งที่เป็น 20% ของสรรพสิ่ง จะสร้างผลลัพธ์ 80% ได้ คนสำเร็จ จะโฟกัสเพียงส่วนสำคัญ 20% นี้ ซึ่งมันจะสร้างผลถึง 80% ได้ ในขณะที่คนส่วนใหญ่จะวุ่นวายกับการทำสิ่งที่อยู่ในโซน 80% และได้ผลลัพธ์เพียง 20% เท่านั้น
ซึ่งเป็นหลักที่ครูใช้มาเกือบตลอดชีวิต แต่ไม่รู้ว่ามันเรียกว่ากฎพาเรโต และตั้งใจปรับใช้อย่างตั้งใจ ตั้งแต่ได้พบกับหนังสือที่ชื่อว่า The 80/20 Principle : The Secret to Achieving More with Less โดย Richard Koch ตั้งแต่อยู่ชั้นมหาวิทยาลัย เพราะ เห็นว่าได้ลองใช้แล้วเหมาะกับจริตของตัวเอง และได้ผลลัพธ์คือความสำเร็จหลายอย่างตามที่ต้ังใจไว้จริง ๆ และก็เป็นปรัชญาชีวิตที่นำมาใช้ตลอดกับทุก ๆ เรื่อง ด้วยตระหนักว่า “เวลาชีวิตนั้นสั้น และเวลาเป็นสิ่งที่มีค่า คนที่จะสำเร็จและมีชีวิตที่สมดุลนั้น ต้องเลือกทำแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็พอ” 

ในเรื่องสิวและผิวก็เช่นกัน…

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของชีวิตที่เป็นสิวของครู ตั้งแต่อายุ 11 ปี จนถึง 24 ปี ครูวุ่นวายอยู่กับการหาวิธีการมากมายเพื่อให้สิวเรื้อรัง และผิวที่แก่กว่าวัย หยุดยาไม่ได้ ออกไปจากวงจรชีวิตของครู ซึ่งนั่นคือ การที่เราไม่โฟกัสมากพอถึงจุด 20% ที่จะทำให้ “สิวหายขาด” ได้ เลยต้องอยู่ในวงจร เข้า ๆ ออก ๆ คลินิกและใช้ยาอยู่แบบนั้น แต่เมื่อได้โฟกัสจริงจังกับจุด 20% นี้ และได้พบกับ 10% และไล่เข้ามาเจอจุดสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเห็นเพียง 1 จุดที่จะ “พลิก” สถานการณ์ หรือ “แก้วิกฤติผิว” ได้จริง สิ่งนั้นคืออะไร? ครูกำลังจะเขียนถ่ายทอดที่นี่ที่แรกเลยค่ะ…
จากประสบการณ์ในการแก้ปัญหาสิวและผิวอ่อนแอชนิดเรื้อรังของตัวครูเอง และ ของผู้ที่มาปรึกษามากมายรวมระยะเวลาที่คลุกคลีอยู่กับ “ปัญหาเดียว” นี้มากว่า 8 ปี ครูจึงได้เห็นทั้งภาพกว้าง รายละเอียดที่ลงลึก และการมองปัญหาแบบ Bird-Eyed View คือ เห็นจากทุกมุมที่ค่อนข้างครบว่า ปัญหาสิวและผิวอ่อนแอชนิดเรื้อรังนี้ จุดที่ถือได้ว่าเป็น “จุดพลิก” ของความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและผิวพรรณของทุกคน คือ น้ำ และนั่นคือ ส่วนของ 20% ที่ “ครูตกผลึก” จากประสบการณ์ 8 ปีว่า คือ สิ่งที่ต้องมุ่งเน้นให้ความสำคัญมากที่สุด หากต้องการหายจากสิวอย่างยั่งยืนจริง ๆ ไปพร้อมๆ กับการ “ลดไฟ” เพราะ 2 ธาตุนี้ เป็นธาตุตรงข้ามกัน ซึ่งถ้าต้องการเพิ่มน้ำอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องทำการ “ลดไฟ” ส่วนเกินลงให้ได้ แต่ไม่ให้ลดมากจนเกินขีดสมดุลด้วย ร่างกายจึงจะอยู่ในสภาวะที่มีสุขภาพดี ก็จะสะท้อนมาที่ผิวที่มีสุขภาพดีนั่นเอง เพราะธาตุไฟที่เพียงพอ จะช่วยให้มีการเผาผลาญที่ดี ทำให้ร่างกายสามารถเปลี่ยนอาหารที่กินเป็นพลังงานได้ และกลายไปเป็นส่วนประกอบต่าง ๆ ของร่างกายได้ต่อไป ถ้าขาดไฟ หรือไฟน้อยไปอีก ก็จะทำให้ร่างกายเปลี่ยนอาหารเป็นสารอาหารไม่ได้ และร่างกายไม่ได้รับพลังงานมากพอ ของเสียเหลือตกค้างในลำไส้ กลายเป็นพิษในลำไส้เพิ่มเติมไปอีก
และจากหลักการ “สิ่งเดียว” (The One Thing) ของหนังสือที่มีชื่อว่า “ได้ทุกสิ่งด้วยสิ่งเดียว” โดย Gary Keller & Jay Papasan สำนักพิมพ์ WE LEARN ครูก็จำกัดให้ “หนึ่งเดียว” ที่ทุกคนที่ต้องการรักษาสิวให้หายขาดได้ คือ สมดุลน้ำในร่างกาย นี่คือ หนึ่งเดียวที่ทุกคนที่ต้องการผลลัพธ์เรื่องผิวและสุขภาพที่ดี ต้องมี Strong Focus และวินัยเรื่องนี้เป็นจุดแรก

ปัญหาของการขาดน้ำ จะแสดงออกใน 7 รูปแบบหลักที่สังเกตได้ง่าย ดังต่อไปนี้

  1. ร้อนใน – เป็นอาการที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายในคนทั่วไป อาการร้อนใน เกิดจากระบบภายในร้อน จึงระบายความร้อนออกมาทางผิวหนัง ถ้ามาออกที่ปาก ก็จะเป็นร้อนใน
  2. สิวอักเสบและรอยแดง – ในคนที่ผิวมีแนวโน้มเป็นสิว เกิดจากระบบภายในร้อน จึงระบายความร้อนออกมาทางผิวหนัง ถ้ามาออกที่ผิวหน้า ก็จะกลายเป็นสิวอักเสบและรอยแดง
  3. สิวอุดตัน – ในคนที่ผิวมีแนวโน้มเป็นสิว เกิดจากตับและถุงน้ำดีร้อน จึงทำให้เกิดนิ่วในตับและถุงน้ำดี ทำให้ตับไม่สามารถระบายของเสียออกจากตับ (เหมือนลำไส้ที่ต้องระบายอุจจาระนั่นเองค่ะ ตับมีทางระบายของเสียที่เกิดจากตัวตับเองและพิษจากอาหาร มลภาวะ ฯลฯ ทางเดียวคือ ท่อน้ำดี) เมื่อตับระบายของเสียออกไม่ได้ ซึ่งของเสียที่ระบายออกมาทางท่อน้ำดีนั้น เป็นของเสียที่ละลายในไขมัน ซึ่งถ้าออกทางท่อน้ำดีไม่ได้ ก็จะหมุนเวียนอยู่ในกระแสเลือด ทำให้มีไขมันเลววนเวียนอยู่ในเลือด น้ำเหลือง และระบายออกทางผิวหน้า อก หลัง หนังศีรษะ ซึ่งมี “ต่อมไขมัน” อยู่เป็นจำนวนมากนั่นเอง (ผิวหนังเป็นช่องทางหนึ่งของการระบายของเสียค่ะ สิวอุดตันคือของเสียที่ตับระบายออกทางท่อน้ำดีไม่ได้ จึงมาออกที่บริเวณดังกล่าวนั่นเอง เป็นเหตุผลว่าทำไมที่ที่ไม่มีต่อมไขมันหรือมีน้อย เช่น แขน ขา จะไม่มีสิวขึ้น ถ้าคนที่มีสิวที่แขน ขา แสดงว่า พิษตกค้างในตับอยู่ในระดับสูงมาก ๆ)
  4. ท้องผูก – เมื่อร่างกายขาดน้ำ ร่างกายจะดึงน้ำจากอวัยวะที่ถือว่าไม่สำคัญต่อการอยู่รอดเข้ามาหล่อเลี้ยงส่วนสำคัญมากที่สุด เช่น หัวใจ ตับ ปอด ถ้าร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรง ก็จะทำให้ไปดึงน้ำจากอุจจาระกลับเข้ามา ทำให้อุจจาระแข็ง และผนังลำไส้เองก็ขาดน้ำไปด้วย ทำให้ไม่ค่อยยืดหยุ่นและปลายประสาทของเซลล์ลำไส้ทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งในการขับถ่ายอุจจาระ จำเป็นต้องอาศัยทั้งการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบและเส้นประสาทที่เซลล์ผนังลำไส้ ที่ล้วนแต่ต้องการน้ำปริมาณมากพอในการขับเคลื่อนให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ขับเคลื่อนและขับถ่ายของเสียได้ดี เมื่อเกิดอาการขาดน้ำ เซลล์ผนังลำไส้จึงอยู่ในสภาพอ่อนแอ เหมือนเซลล์ที่ใกล้ตาย (เพราะร่างกายที่ตายแล้ว น้ำจะเหือดหายไป) จึงทำให้เกิดปัญหาท้องผูก ลำไส้แปรสภาพเป็นถังขยะที่มีแบคทีเรียชนิดเลวอยู่เต็มไปหมด ยังไม่รวมหนอนพยาธิ และพิษจากสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่เติบโตอย่างมหาศาลจากสภาพลำไส้เช่นนี้ ทำให้เกิดเป็นวงจรท้องผูก ผนังลำไส้อักเสบ ผนังลำไส้รั่ว (Leaky Gut Syndrom) สิว ฝ้า เครียด หาครีมทา หาอาหารเสริม วน ๆ ไป โดยที่ไม่ได้แก้ต้นเหตุที่แท้จริง คือ เพิ่มน้ำให้กับลำไส้เท่านั้นเอง
  5. รูขุมขนกว้าง – เมื่อเซลล์ผิวขาดน้ำ ไม่ว่าจะเกิดจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอ มีความเครียดสะสมต่อเนื่อง (ความเครียดก่อให้เกิดสารพิษ อนุมูลอิสระจำนวนมาก เป็นที่มาของพลังร้อน) การพักผ่อนน้อย หรือ เกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความรุนแรงต่อผิว หรือสัมผัสแสงแดดแรง ๆ สะสมมาเป็นเวลานาน ก็จะส่งผลให้เซลล์ผิวเหมือนลูกผลไม้เหี่ยว ๆ เซลล์ที่แห้งเหี่ยว จะไม่อวบอิ่ม จึงทำให้เกิดการรั้งผิวด้านหน้า ดึงลงมาทำให้เห็นรูขุมขนชัดเจนขึ้น
  6. สิวเสี้ยน และ สิวอุดตัน จากผิวขาดน้ำ – เป็นคนละสาเหตุกับสิวอุดตันจากการระบายของเสียจากตับไม่ได้ เกิดจากการที่ผิวขาดน้ำแล้วท่อรูขุมขนไม่ยืดหยุ่น แข็งกระด้าง แล้วมีปริมาณไขมันเลว (เกิดจากการกินน้ำตาล ของหวาน แป้งขัดขาวไขมันทรานส์ที่มากเกินไป) ที่ร่างกายต้องการระบายออกมาในปริมาณสูง เมื่อไขมันส่งมาระบายที่รูขุมขนที่มีต่อมไขมันอยู่ น้ำมันก็จะออกไม่ได้ดีนัก และการที่ผิวขาดน้ำ จะดึงน้ำจากไขมันออกมา ทำให้ไขมันแข็งตัว กลายเป็นคอมีโดนที่อยู่ใต้ผิว จับแล้วผิวไม่เรียบเนียนนั่นเอง
  7. หนังศีรษะแห้ง – เสมือนเป็นรังแค แต่ไม่ใช่รังแค เกิดจากภาวะขาดน้ำเช่นกัน ซึ่งทำให้หนังศีรษะไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงเท่าที่ควร เซลล์ที่หนังศีรษะก็จะแห้งลง กลายเป็นคราบ สะเก็ด ที่แม้จะเปลี่ยนแชมพูกี่ยี่ห้อก็ไม่หาย จะใช้วิธีอะไรก็ไม่หาย แม้จะดีขึ้นบ้าง แต่ก็จะมีปัญหานี้รบกวนอยู่เรื่อย ๆ และส่งผลทำให้เป็นหงอกก่อนวัยอันควรด้วย
ทั้งหมดนี้ เกิดจาก “การสังเกต” ตัวครูเองตลอด 8 ปีที่ผ่านมา และเป็นข้อมูลที่ครูสังเกตและเรียนรู้จากเคสที่ครูมีโอกาสได้ดูแลทุกคนค่ะ ก็พบว่า “หนึ่งเดียว” ของการ “พลิก”สุขภาพผิวอย่างรวดเร็ว คือ การดื่มน้ำอย่างถูกวิธี ก่อนเลย ซึ่งเมื่อประกอบกับการใช้ skincare ที่ช่วยให้ผิวกักเก็บน้ำได้ดี ก็จะส่งเสริมให้การบำบัดผิวเห็นผลเร็วยิ่งขึ้น

วิธีดื่มน้ำอย่างถูกต้อง มีดังนี้ค่ะ

  1. หลังตื่นนอน : ค่อย ๆ จิบดื่มไปทีละนิด ถ้าจะให้ดี แนะนำให้เป็นน้ำอุ่นผสมเกลือหิมาลัย (ร้านครูไม่มีจำหน่ายนะคะ หาซื้อเองได้เลย ใน google มีค่ะ) ไปจนครบ 1 ลิตรใน 1 ชั่วโมง (แก้ไขจากข้อมูลเดิมที่ครูเคยบอกว่า ให้ดื่มรวดเดียวไปจนหมดนะคะ ครูทดลองแบบค่อย ๆ จิบดื่มแล้ว ก็ให้ผลดีเหมือนกันค่ะ คนที่ไม่เคยดื่มน้ำตอนเช้า ก็จะสามารถทำได้แน่นอนด้วย เพราะการค่อย ๆ จิบดื่มจะไม่ทำให้รู้สึกอยากอาเจียนเหมือนดื่มรวดเดียวค่ะ)
  2. ก่อนอาหาร 20 นาที ระหว่างมื้อ และหลังกินอาหาร 60 นาที ไม่ควรดื่มน้ำเปล่าเลย เพื่อให้ไฟย่อยอาหารได้ทำงานเต็มที่ ถ้าเรากินอาหารที่รสไม่จัด (รสจัดทำให้เสียสมดุลและร่างกายเรียกร้องให้ดื่มน้ำเพิ่ม เพราะต้องเอาไปเจือจางความล้นเกินของรสชาติที่รับเข้ามา) เราจะไม่รู้สึกว่าต้องดื่มน้ำหลังอาหารเลยค่ะ อยู่ยาว ๆ ได้ถึง 45-60 นาทีเลย
  3. ระหว่างวัน ให้จิบน้ำอุณหภูมิห้องไปตลอดวันได้เลย หลีกเลี่ยงน้ำเย็นและเครื่องดื่มทุกชนิด ยกเว้นชาสมุนไพรที่ไม่มีคาเฟอีน สามารถดื่มได้ค่ะ โดยให้จิบไปเรื่อยๆ เช่นกัน แต่ไม่ควรเกิน 1 ลิตร เพราะปริมาณที่เหลือให้เป็นน้ำเปล่าอุณหภูมิห้องจะดีที่สุด
  4. ก่อนนอน : ดื่มน้ำอุณหูมิห้อง 1 แก้ว (250 cc) ถ้าสุขภาพของคุณดี จะไม่ตื่นมาปัสสาวะช่วงก่อนตี 3 ค่ะ ให้พยายามดื่มก่อนนอน 1 แก้วให้ได้ เพราะร่างกายจะไม่มีน้ำไปอีกหลายชั่วโมงตอนนอน และช่วยให้น้ำดีไม่ข้นตอนนอนด้วย น้ำดีข้น มีโอกาสเกิดนิ่ว ดังนั้น ดื่มก่อนนอนด้วยนะคะ จะป้องกันได้ระดับหนึ่ง
  5. หากมีการออกกำลังกาย หรืออบซาวน่า ให้ดื่มน้ำก่อนประมาณ 1 แก้วเอาไว้ เพราะระหว่างกิจกรรม เราจะสูญเสียน้ำได้ตลอด ถ้าออกกำลังกาย ก็สามารถจิบน้ำเพื่อเติมน้ำไปตลอดได้ แต่ไม่ควรดื่มเป็นแก้ว ๆ ระหว่างออกกำลังกายเพราะจะทำให้จุกได้ค่ะ
  6. ควรดื่มน้ำให้ได้ปริมาณ 2 ลิตรขึ้นไปต่อวัน และสังเกตได้เลยว่าร่างกายได้รับน้ำพอหรือยังแบบง่ายมาก ๆ คือ ริมฝีปากจะอิ่มน้ำโดยไม่ต้องพึ่งลิปสติกหรือลิปบำรุงเลยค่ะ (ถ้าใครขาดน้ำ ก็ดูจากปากนี่ล่ะค่ะ)
ลองเริ่มต้นด้วยจุดนี้กันก่อนนะคะ แล้วปัญหาสิวกับผิวจะคลี่คลายลงไปได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว
ส่วนการดูแลสุขภาพที่จะช่วยเคลียร์สิวให้ผิวใสได้ มีคอร์สออนไลน์สอนนะคะ เป็นความรู้สรุปมาให้จากประสบการณ์ที่เคลียร์สิวตัวเองและดูแลผู้อื่นรวม 10 ปีค่ะ 
ดูรายละเอียดได้ที่ https://shiningbeam.org/siwsecretonlinecourse/

ความคิดเห็น