สาเหตุของสิววัยผู้ใหญ่ (Adult Acne) ที่ขึ้นหลังวัย 20 ปี


สิววัยผู้ใหญ่ คือ อะไร?



สิวในวัยผู้ใหญ่ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Adult Acne แต่ละสำนักอาจจะให้นิยามสิวชนิดนี้แตกต่างกัน 

แต่จากประสบการณ์ในการเป็นที่ปรึกษาอิสระเรื่องสิวของบีมตลอด 8 ปีที่ผ่านมา บีมให้นิยามว่า สิววัยผู้ใหญ่ เป็นสิวที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป เพราะเป็นช่วงที่เกินระยะเวลาของวัยรุ่นไปแล้ว 

แต่โดยมากแล้ว ผู้ที่เป็นสิวจะเริ่มสังเกตเห็นตัวเองว่าเป็นเรื้อรังและเป็นเพิ่มขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่ออายุประมาณ 23-25 ปีขึ้นไป และบางรายอาจจะพึ่งเป็นสิวเมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไปก็มีเช่นกัน โดยหลายรายสิวมาร่วมกับโรคต่าง ๆ เช่น ซีสต์ ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ผิวแพ้ง่าย ภูมิแพ้ ไซนัส เป็นต้น

ในอัลบั้มนี้ บีมจะอธิบายสาเหตุของสิวในวัยผู้ใหญ่ ที่บีมรวบรวมมาทั้งหมดจากประสบการณ์ทำงานและศึกษาเรื่องสิวมา 8 ปี ให้คุณได้เรียนรู้ และทำความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับปัญหาสิว ที่อาจแตกต่างโดยสิ้นเชิงหรือต่อยอดจากสิ่งที่คุณเคยเรียนรู้และได้รับการบอกกล่าวมา ถือว่าเป็นประตูบานแรกที่จะทำให้คุณได้เริ่มดูแลตัวเองอย่างถูกต้องค่ะ

สิ่งที่คนทั่วไปมองข้ามมากที่สุดเกี่ยวกับการดูแลผิว คือ การล้างหน้า แต่ในความเป็นจริงและในทางปฏิบัติแล้ว การล้างหน้าถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการดูแลผิวของเรา เพราะช่วงที่ผิวเปียกนั้น ผิวจะมีภาวะที่อ่อนแอ เหมือนกระดาษที่เปียกน้ำ สามารถฉีกขาดได้ง่าย หรือสามารถดูดซึมสารอาหารเข้าไปสู่ผิวได้โดยง่ายมาก 

ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เคลมว่าใช้ในการรักษาสิวมากมายกลับมีส่วนผสมและคุณสมบัติที่ทำร้ายผิว ส่วนผสมที่ต้องหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด คือ SLES โดยมีชื่อเต็ม คือ sodium laureth sulfate (ชื่อย่อของ sodium lauryl ether sulfate) และตระกูล sulfate ทั้งหลาย เช่น SLS (sodium lauryl sulfate) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ SDS (Sodium dodecyl sulfate), ammonium lauryl sulfate (ALS), and sodium pareth sulfate* (ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่เป็นสบู่หรือเจลทำความสะอาดส่วนใหญ่ในบ้านเรามีส่วนผสมนี้ แม้กระทั่งผลิตภัณฑ์ของเด็กที่เราเข้าใจว่าอ่อนโยน ก็มีส่วนผสมนี้ แต่ต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย จะไม่ค่อยใช้แล้ว)

ส่วนผสมตระกูล sulfate (อ่านว่า ซัลเฟต) นี้ จะไปชำระล้างน้ำมันตามธรรมชาติที่เป็นเกราะผิวตามธรรมชาติให้หมดไป แรกๆ จะให้ความรู้สึกสะอาด แต่เมื่อใช้ไปนาน ๆ ผิวจะอ่อนแอลง ทำให้แพ้ง่ายและเป็นสิวได้ง่ายขึ้น และสบู่ที่มีค่าเป็นด่าง (pH มากกว่า 7.0) ก็มีความรุนแรงต่อผิวและทำให้ผิวอ่อนแอลงในระยะยาวได้เช่นกัน

*https://en.wikipedia.org/wiki/Sodium_laureth_sulfate




ยารักษาสิวในกลุ่มเบนซอยด์เพอร็อกไซด์ (Benzoyl Peroxide, ตัวย่อคือ BP) ที่เป็นตัวใช้ยาก่อนล้างหน้า โดยเคลมกลไกเรื่องการฆ่าเชื้อสิวและสลายสิวอุดตัน และกลุ่มครีมอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ ที่ใช้ยาเป็นตัวสุดท้ายก่อนนอน รวมไปถึงยาแต้มสิวกลุ่มคลินด้ามัยซิน ล้วนทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของผิว ซึ่งแต่ละคนจะแสดงออกในรูปแบบแตกต่างกัน

แต่โดยหลักแล้ว กลุ่ม BP เมื่อใช้ในระยะเวลานานเกินกว่า 7 วัน ผู้ใช้จะรู้สึกว่า ผิวเรียบขึ้นจริง แต่ผิวดูกร้าน แก่กว่าวัย และหน้ามันเร็วกว่าปกติ ต้องใช้กระดาษซับมันหลายแผ่นมาก หากไปเช็คสภาพผิวด้วยเครื่องแว่นขยาย จะพบว่า เกิดริ้ว ๆ ที่ชั้นผิวจำนวนมาก ผิวขาดน้ำ ผิวจึงพยายามผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น และเกราะผิว (skin barrier) ก็อ่อนแอลง

ส่วนในกลุ่มของอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ ในกลุ่มผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายเพราะชั้นเกราะผิวเสียไปเป็นระยะเวลานาน ๆ เมื่อใช้ยากลุ่มนี้ จะยิ่งทำให้เกิดอาการขาดน้ำระคายเคือง และผิวอาจจะไหม้ได้

และสุดท้ายกลุ่มยาแต้มสิวคลินด้ามัยซิน เมื่อใช้นานเกินไป ก็อาจทำให้เกิดภาวะเชื้อดื้อยา ทำให้ใช้แล้วไม่ได้ผลเหมือนเคย

ซึ่งกล่าวโดยสรุปแล้ว กลุ่มยารักษาสิวนั้น สามารถทำให้ผิวอ่อนแอลงได้ และอันที่จริง สิวสามารถยุบลงเองได้ หากรู้จักวิธีดูแลผิวและระบบภายในอย่างถูกต้องภายใน 3-7 วัน

หากใช้ยารักษาสิวแล้วยังไม่หายใน 7 วัน ให้หยุดใช้เพราะสาเหตุไม่ใช่ที่ผิว แต่เป็นที่ระบบร่างกาย แต้มหรือทาอย่างไร ก็ไม่มีวันหายได้จริงและยังทำให้ผิวอ่อนแอลงเรื่อย ๆ และเป็นสิวเพิ่ม ผิวแพ้ง่ายขึ้น เพราะ กำแพงผิวเสียไปเรื่อย ๆ เชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมจะเข้าระคายเคืองผิวชั้นในได้มากขึ้น



สเตียรอยด์ที่บีมกำลังพูดถึง คือ สเตียรอยด์ที่เป็นยาที่เรารับด้วยการกิน ทา หรือฉีด

ใน 8 ปีในการศึกษาของบีมที่ผ่านมา พบว่า ผู้ที่ไม่เคยเป็นสิว แต่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคที่ต้องใช้สเตียรอยด์ เมื่อได้รับยาไปเรื่อยๆ ผ่านไปหลายเดือน ทำให้มีสิวขึ้นทั่วหน้าและลำตัว เป็นเม็ดเท่า ๆ กัน เคสกรณีนี้เคยพบอยู่ แต่ไม่มาก แต่ก็ทำให้ทราบว่า สิวสเตียรอยด์อาจจะเป็นเพราะตัวยาสเตียรอยด์เองด้วย

แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่มีปัญหาสิว มักจะได้รับสเตียรอยด์ผ่านการฉีดสิวและการทา ซึ่งได้รับจากการทามากเป็นอันดับ 1 ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก (อย่างน้อยก็สำหรับบีม) เพราะ จากคนที่ผิวมีสุขภาพดี เมื่อได้สัมผัสกับสเตียรอยด์ ก็จะมีผิวเสียหายทุกราย (ไม่ว่าจะเป็นตัวยาแก้แพ้ที่มีสเตียรอยด์เปอร์เซ็นต์อ่อน ๆ หรือครีมเพื่อผิวขาวใสที่ผสมสเตียรอยด์ในทุกระดับปริมาณ) และต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูและต้องอดทนกับช่วงขับสารพิษนานพอสมควรในแต่ละเคส แม้บางเคสจะเคยทาครีมที่มีสเตียรอยด์เป็นช่วงสั้น ๆ ก็ตาม



ครีมที่เราใช้ทาผิวกันอยู่ อาจทำให้ผิวมีปัญหาได้ ที่มักจะเกิดขึ้นเพราะ 2 สาเหตุคือ ใช้ครีมที่มีส่วนผสมที่เราแพ้อยู่แล้ว หรือ เป็นส่วนผสมที่ในขณะนี้ได้รับการศึกษาและวิจัยทั่วโลกว่า อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวและมีผลเสียต่อสุขภาพเมื่อสะสมในร่างกายเมื่อใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ

สำหรับกลุ่มที่เราแพ้นั้น ให้เราอ่านส่วนผสมก่อนเสมอ หรือ ทดสอบโดยการทาที่ท้องแขนก่อนว่า แพ้หรือไม่ โดยจะมีอาการคัน ระคายเคือง ในบริเวณที่ทาภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังทา

และมีรายการส่วนผสมที่ควรหลีกเลี่ยงดังนี้ (ให้พลิกดูฉลากก่อนใช้เสมอ) Mineral Oil (Petrolatum) Propylene Glycol, Triethanolamine (TEA) IPM (Isopropyl Myristate), Polyethylene, Imidazolidnyl and Diazoliddinyl Urea, Paraben, SLES (Sodium Laureth Sulfate), Artificial Color, Silicone, Petroleum Derivative, Synthetic Polymer, PEG (Polyethylene Glycol), Quats

ใครที่สนใจอยากทราบถึงเรื่องราวสารพิษของเครื่องสำอางมากยิ่งขึ้น แนะนำว่าลองเข้าไปดูวิดีโอคลิปเรื่อง The Story of Cosmetics ที่คุณ Annie Leonard นักเคลื่อนไหวและรณรงค์ชาวอเมริกันเขาทำไว้ พร้อมอ่านข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติมกันได้ที่ www.storyofcosmetics.org*

ลิสต์รายการส่วนผสมอันตรายในเครื่องสำอางจากหน้า 39-40 นิตยสาร BE WELL ฉบับที่ 62 พฤศจิกายน 2553




ในที่นี้หมายถึงเครื่องสำอา
งกลุ่มสีสัน นับตั้งแต่ BB CC เบส ครีมกันแดดผสมเบสหรือครีมรองพื้น ครีมรองพื้น จนไปถึงบลัชออน ที่สัมผัสผิวหน้าเป็นบริเวณกว้าง ให้ระมัดระวังส่วนผสมที่มีชื่อว่า ลาโนลิน (lanolin) ซึ่งเป็นไขมันที่สกัดมาจากสัตว์ และ mineral oil (น้ำมันแร่) รวมไปถึงอนุพันธ์ของมันได้แก่ propylene glycol และ butylene glycol ซึ่งได้รับการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นตัวการที่ทำให้เกิดการอุดตันชนิดเรื้อรังในรูขุมขน ทำให้สิวขึ้นไม่หยุด และจากประสบการณ์ตรงของบีมและจากการสำรวจลูกค้าของร้านพบว่า เมื่อมีการเลิกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้ ทำให้การอุดตันลดลงและหายไปจริง


ในทางการแพทย์แผนตะวันออก (ไทย จีน อายุรเวท) อุจจาระนั้นถือว่าเป็นพิษต่อร่างกายที่จำเป็นจะต้องกำจัดออกทุกวันให้หมดจด มิเช่นนั้น มันจะกลายเป็นต้นเหตุของการเสียสมดุลของร่างกาย ทำให้เกิดความผิดปกติในระบบต่าง ๆ ตามมา หากปล่อยไว้เรื้อรัง ก็จะทำให้เกิดภัยร้ายต่อร่างกายเพิ่มขึ้น 

และในทางการแพทย์ทางเลือกฝั่งตะวันตก ก็พบว่า การดีท็อกซ์ลำไส้และการดูแลรักษาลำไส้ให้มีสุขภาพดีนั้น เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการแบบองค์รวมที่จะทำให้มนุษย์คนหนึ่งมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้จริง

และจากกรณีศึกษาหรือผู้มีประสบการณ์ตรงในการล้างลำไส้มากมาย ก็พบว่า การล้างลำไส้ ส่งผลดีต่อร่างกายโดยรวม ทำให้อารมณ์แจ่มใสขึ้น ผิวพรรณมีสุขภาพดีขึ้น โรคภัยต่างๆ ที่เคยมีลดลงหรือหายไป

ในทางตรงกันข้าม หากมีอุจจาระตกค้าง หรือท้องผูก ซึ่ง 2 กรณีนี้จะแตกต่างกัน ในกลุ่มแรกอาจจะขับถ่ายทุกวัน ไม่มีปัญหาเรื่องถ่าย แต่เป็นกลุ่มที่มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว มากบ้าง น้อยบ้าง (ตามระดับของเสียสะสมในลำไส้ ตับ ระบบทางเดินอาหารที่ติดขังอยู่) มีหน้าท้อง มีพุง เป็นสิว เป็นฝ้า ผิวไม่สดใสและแข็งแรง เป็นต้น

และอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ท้องผูก เป็นกลุ่มที่ไม่สามารถขับถ่ายได้เป็นปกติ ซึ่งที่ควรจะเป็นคือ เมื่อตื่นมาและดื่มน้ำรอบเช้าประมาณ 500-1,000 มล. แล้ว ขยับตัวเล็กน้อย ก็ควรจะต้องรู้สึกปวดถ่ายหนัก และไม่ใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานเกินไป คือ เข้าแล้วจะต้องถ่ายได้เลยทันทีอย่างง่ายดาย โดยอุจจาระอ่อนนิ่ม ไม่แข็งเป็นก้อน ๆ หรือบาดรูทวารจนฉีกขาด และกลุ่มที่สองยังรวมถึงผู้ที่มีริดสีดวงทวารส่วนใหญ่ด้วย

ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดใน 2 กลุ่มนี้ ต่างก็ถือว่า เป็นผู้ที่มีอุจจาระตกค้าง ซึ่งหากปล่อยไว้นาน ๆ โดยไม่ทำการล้างลำไส้เลยและไม่ปรับอาหารที่กิน ก็จะทำให้ผนังลำไส้ดูดซึมสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดและน้ำเหลืองตลอดเวลา และอาจทำให้เกิดภาวะ Leaky Gut Syndrom (ลำไส้รั่ว ทำให้สิ่งที่ไม่ควรออกจากลำไส้ คือ พิษต่าง ๆ แทรกซึมออกไปได้มากขึ้น) ในเลือดมีพิษจากอุจจาระ ตับและไตจะต้องทำงานหนักในการกรองของเสีย ภูมิคุ้มกันต้องทำงานหนักในการกำจัดพิษออก ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Chronic Inflammation (ภาวะอักเสบชนิดเรื้อรัง) ส่งผลให้ตับ ไต ปอด มีภาระหนัก พลังลดลง อ่อนแอ และเมื่อตับอ่อนแอลง จะส่งผลต่อระบบร่างกายทั้งระบบ

เพราะที่นี่เป็นพี่ใหญ่ที่สุดของร่างกายในการดูแลสุขภาพของมนุษย์ให้แข็งแรงและสมบูรณ์เป็นปกติ ก็จะทำให้เกิดภาวะเสียสมดุลระดับสูง พิษสะสมระดับสูง และเมื่อระบบกำจัดภายในเสีย ร่างกายจะเริ่มกำจัดออกทางผิวหนัง (ผิวหนังถือเป็นอวัยวะขับพิษอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญของร่างกาย ดังนั้น ผิวหนังจึงสามารถสะท้อนสุขภาพภายในได้ตามหลัก reflexology คือ อ่านผิวสะท้อนสุขภาพ) ซึ่งการเกิดสิว ฝ้า เป็นเพียงแค่สัญญาณเตือนเท่านั้นให้รีบหันกลับมาใส่ใจดูแลตัวเอง งดการเติมพิษใหม่ กินผักผลไม้มาก ๆ และช่วยร่างกายล้างพิษเก่าออกให้มากและเร็วที่สุดด้วย



เป็นผลที่ต่อเนื่องมาจากอุจ
จาระตกค้างลำไส้ ตับ ไต เสื่อมพลังและประสิทธิภาพในการกำจัดพิษออก ทำให้พิษจำนวนมาก ล่องลอยและไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดมากมายเต็มไปหมด ซึ่งระบบของเหลวในร่างกายมี 2 ระบบคือ น้ำเลือด และน้ำเหลือง 

ซึ่งน้ำเลือดจะมีลักษณะเป็นท่อสานกันไปทั่วร่างกาย ซึ่งมีเม็ดเลือดแดงนำสารอาหารและออกซิเจนที่จำเป็นต่อการทำงานและดำรงอยู่ของเซลล์เข้าสู่เซลล์ผ่านทางเส้นเลือดฝอย และพาเอาความร้อน คาร์บอนไดออกไซด์ ออกมาในหลอดเลือดดำ เพื่อนำไปฟอกที่ปอดต่อไป

ส่วนระบบน้ำเหลืองนั้น เป็นของเหลวสีขุ่น (สีแบบหนองที่เราเคยเป็น) ซึ่งระบบนี้จะมีหน้าที่ในการกำจัดพิษและเชื้อโรคเป็นหลัก เป็นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งจะมีต่อมน้ำเหลืองที่เป็นเหมือนฐานที่มั่นใหญ่ ๆ อยู่หลายแหล่ง จะมีเม็ดเลือดขาวหลากหลายประเภทที่ทำหน้าที่เป็นทหารคุ้มครองและรักษาร่างกายของเราให้ปลอดจากพิษและเชื้อทั้งหลาย

ซึ่งถ้าหากเราปล่อยให้มีพิษและเชื้อโรคอยู่ในระบบร่างกายมากเกินไป และไม่ออกกำลังกายให้น้ำเหลืองเดินทาง เกิดการหมุนเวียนแล้วล่ะก็ จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงเรื่อย ๆ การกำจัดพิษและเชื้อโรคไม่มีประสิทธิภาพ ก็จะทำให้เลือดและน้ำเหลืองที่อยู่บนหน้าของเรานั้นสกปรก ทำให้แผลหายช้า เป็นสิวซ้ำซ้อน ผิวอ่อนแอ แพ้ง่าย ตามไปด้วย ซึ่งมีข้อสังเกตว่า ผู้ที่ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอในระหว่างการบำบัดสิวด้วยแนวธรรมชาติ สิวทุกชนิดจะหายเร็วขึ้นมาก หากมีหัวสิว ก็จะหลุดง่าย และแผลสิว จะดีขึ้นเร็วอีกด้วย



ภาวะไขมันพอกตับ ไม่จำเป็นต้องเกิดกับคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ แต่สามารถเกิดได้กับทุกคนที่กินน้ำตาล แป้งขัดขาว แป้งแปรรูป (เช่น ขนมปังสีขาว เค้ก เบเกอรี่) ไขมันทรานส์ และไขมันผ่านกระบวนการ และไขมันจากน้ำมันทอดซ้ำ เป็นปริมาณมาก ๆ ซึ่งเป็นของกินที่คนในยุคนี้จะกินเป็นประจำเป็นปกติ เพราะเป็นเทรน มีการโฆษณาชวนเชื่อ มีรสชาติอร่อย ค่านิยมที่ดูเก๋

ซึ่งเมื่อสิ่งเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายแล้ว ในส่วนของไขมันเลวที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้นั้น อาจติดหนึบอยู่ที่ผนังลำไส้ซึ่งถ้าผสานกับการกินเนื้อ นม ไข่ แป้ง มาก แต่กินผักผลไม้ ธัญพืช น้อย ก็จะไม่มีตัวกวาดเอาไขมันเลวเหล่านี้ออกมา ก็จะเป็นเมือกมันติดอยู่ที่ผนังลำไส้นั้น เคลือบไม่ให้ผนังลำไส้ดูดซึมน้ำและสารอาหารกลับสู่ร่างกายได้ ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ ดื่มน้ำมากเท่าไหร่ ก็ยังคงรู้สึกกระหาย เป็นร้อนในง่าย หงุดหงิดง่าย และมีปัญหาผิวหนังเสมอ ๆ

ในอีกส่วนหนึ่ง จะเป็นแป้งขัดขาว และน้ำตาล (นับทั้งน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายแดงที่ทำจากอ้อย - sugar cane) ซึ่งน้ำตาลนี้จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดแกว่ง และเกิดภาวะดื้ออินซูลินตามมา หากปล่อยปละละเลย ก็จะเป็นเบาหวานได้ในที่สุด และเมื่อมีปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป ร่างกายจะแปรรูปน้ำตาลมาเก็บเป็นไขมันที่ตับ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของไขมันพอกตับด้วย เมื่อตับมีไขมันพอกตามเซลล์ตับ จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของตับลดลง การย่อยอาหารทำได้น้อยลง ย่อยไม่สมบูรณ์ ร่างกายไม่สามารถนำสารอาหารที่ได้มาใช้งานได้ เกิดภาวะขาดสารอาหาร เซลล์อ่อนแอ และแน่นอนว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวอ่อนแ

และในทางแพทย์แผนจีน ก็มีการกล่าวไว้ว่า ระบบตับนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบเลือด และจากการสังเกตลูกค้าที่มาปรึกษา พบว่า เมื่อมีการล้างพิษ ลดหรืองดของกินกลุ่มแป้ง น้ำตาล ไขมัน และมีการล้างพิษตับ นอกจากสิวจะลดลงแล้ว ยังส่งผลให้ประจำเดือนที่ผิดปกติ หรือมาน้อย มาเป็นรอบปกติและมีปริมาณปกติขึ้นด้วย เป็นไปได้สูงว่า ตับ ประจำเดือน ระบบเลือด และผิว มีความเกี่ยวข้องกันชนิดแยกกันไม่ออก


การนอนหลับที่มีคุณภาพ วัดได้ง่ายหลังจากตื่นนอน ไม่เกี่ยวกับชั่วโมงการนอน แต่เกี่ยวกับระยะเวลาที่นอน

ซึ่งการนอนที่ให้ผลดีในการบำรุงรักษาร่างกายให้แข็งแรงและจัดการดีท็อกซ์ตัวเองได้ดีที่สุด คือ การเตรียมเข้านอนช่วง 3 ทุ่มกว่า เพื่อให้หลับจริงช่วง 4 ทุ่ม และนอนได้สนิท ไม่ตื่น ไม่ฝันร้าย ในช่วง 4 ทุ่มถึง ตี 2 และตื่นขึ้นมาราว ๆ ตี 4-5 นี่คือ การนอนที่ดีที่สุดที่จะทำให้สุขภาพแข็งแรงมากที่สุด สิวหายเร็ว รอยสิวสมานเร็ว จางเร็ว และผิวแข็งแรง อิ่มน้ำได้เร็วที่สุด ด้วยเหตุผล คือ ในทางแพทย์แผนจีน ช่วง 4 ทุ่ม ร่างกายจะเริ่มสะสมพลังหยาง (พลังชีวิตสำหรับใช้ในวันใหม่) ซึ่งถ้าหากไม่เข้านอนเร็ว จะทำให้พลังงานชีวิตหรือพลังหยางมีน้อย ทำให้ไม่อยากตื่นนอน เพลียระหว่างวัน ต้องพึ่งกาแฟตลอดวัน คิดอะไรไม่ค่อยออก สมองไม่แล่น เป็นคนที่ไม่ค่อยมีพลัง หรือในทางตรงข้ามจะก้าวร้าวเกินไป หงุดหงิดง่าย

นอกจากนี้ ในทางอายุรเวท (อินเดีย) ช่วง 4 ทุ่มถึง ตี 2 เป็นช่วงของพลังงานปิตตะในร่างกายของเรา ซึ่งปิตตะนี้จะเกี่ยวกับเมตาบอลิซึม การเผาผลาญ การเปลี่ยนสถานะของสสารต่าง ๆ ซึ่งสอดคล้องกับระบบนาฬิกาชีวิตของมนุษย์ว่า ในช่วงเวลา 5 ทุ่มถีงตี 1 จะเป็นช่วงเวลาที่ถุงน้ำดีจะจัดระบบไขมันในร่างกายและ ตี 1 ถึงตี 3 จะเป็นช่วงของตับที่จะจัดระบบเอ็นไซม์ สารอาหาร การดีท็อกซ์ ฯลฯ คือ มันจะมีกระบวนการต่าง ๆ มากมายที่ร่างกายจัดการให้เราเพื่อให้พร้อมสำหรับการใช้ร่างกายและพลังงานใหม่ในวันพรุ่งนี้

และในทางการแพทย์ชะลอวัยก็มีการกล่าวว่า ช่วงเที่ยงคืนครึ่ง เป็นช่วงที่ร่างกายจะหลั่ง Growth Hormone ซึ่งฮอร์โมนนี้ ในทางวิทยาศาสตร์ ยอมรับกันว่า เป็นฮอร์โมนหนุ่มสาว ที่ช่วยในการบำรุงฟื้นฟูร่างกายให้อ่อนเยาว์ เสริมสร้างความแข็งแรงและพละกำลัง

ดังนั้น เป็นที่สรุปได้ว่า ร่างกายมนุษย์ จำเป็นต้องได้รับการพักผ่อน โดยเตรียมเข้านอนตั้งแต่ประมาณ 3 ทุ่มเป็นต้นไป และตื่นนอนประมาณตี 4-5 ด้วยความสดชื่น และเพื่อมาขับถ่ายเอาของเสียออกในตอนเช้า ซึ่งผลในทางปฏิบัติจริง พบว่า ทุกคนที่ได้ปรับการนอนให้ใกล้เคียงตามรูปแบบที่ดีที่สุดนี้ มีสุขภาพผิวที่ดีขึ้นเร็ว ผิวอิ่มน้ำ ฟู และสิวหายเร็วกว่าปกติมาก และลดภาวะสิวขึ้นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


จากประสบการณ์เป็นที่ปรึกษาและได้รับรู้วิธีการดูแลผิวของลูกค้ามานาน บีมพบว่า ผู้ที่มีปัญหาสิวมากกว่า 95% (จากผู้ที่มาปรึกษา) ดูแลผิวไม่ถูกวิธี เพราะมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง เช่น เป็นสิว จึงไม่บำรุงผิว หรือ เลือกครีมบำรุงที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง จึงทำให้เกิดภาวะผิวขาดน้ำเรื้อรัง หรือ สาเหตุอย่างหลัง ก็มักจะทำให้รูขุมขนอุดตัน จากการใช้ครีมเนื้อหนักเกินไป หรือมีส่วนผสมของ mineral oil หรืออนุพันธ์ของปิโตรเลียม

หรือ การเข้าใจว่า ใช้แป้งแต่งหน้าแบบอัดแข็ง ใช้แค่โฟมล้างหน้า 2 รอบล้างออก ก็เพียงพอ

หรือ ไม่รู้วิธีการทำความสะอาดผิวที่ถูกต้อง ว่าขั้นตอนเป็นอย่างไร จึงทำให้ทำความสะอาดผิวไม่สะอาด ล้างหน้าแบบถูนวด ไม่ล้างและทาครีมตามแนวขน ใช้น้ำมันผิดประเภทกับผิวหน้าตัวเอง มีเซลล์ตาย (ขี้ไคล) ตกค้างเกาะแน่นอยู่บนผิว ทำให้เกิดสิวอุดตันและอักเสบเพิ่มเติม เป็นต้น

หรือเข้าใจว่า การใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กนั้นอ่อนโยนต่อผิว ซึ่งผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กหลายแบรนด์ หรือผลิตภัณฑ์ที่เคลมเรื่องการรักษาสิวหลายแบรนด์ มีส่วนผสมที่ไม่เหมาะกับผิวที่เป็นสิวและแพ้ง่าย เมื่อใช้แล้วก็อาจทำให้เกิดปัญหาผิวไม่จบ

ความเข้าใจผิดเหล่านี้ อาจไม่ได้ส่งผลร้ายแรงในครั้งเดียวเหมือนการใช้สารเคมีหรือวิธีการที่รุนแรงกับผิว แต่เมื่อปฏิบัติต่อผิวผิดทุกวัน ก็ส่งผลให้ผิวกร่อน เกราะกำแพงผิวอ่อนแอ ขาดวิ่น และผิวขาดความสมดุลได้ในที่สุด นั่นคือ เหตุผลที่หลายคนยังแพ้ง่ายและมีผิวอ่อนแอ แม้จะจะเลิกไปคลินิกหรือใช้ยา ใช้ครีมต่าง ๆ ที่หามาเองแล้วก็ตาม มันยังมีรายละเอียดที่คุณไม่ทราบและจำเป็นต้องปรับ เหมือนเส้นผมบังภูเขา นิดเดียวเท่านั้น ก็จะพลิกสุขภาพผิวให้ดีขึ้นได้ในระยะเวลาไม่นานเกินรอ


การไม่ออกกำลังกายเป็นสาเหตุหลักของ ผิวเป็นสิวและอ่อนแอ ซึ่งถ้าใครได้ทำข้อนี้แล้ว จะรู้ได้ด้วยตัวเองทุกรายว่า เพียงแค่เพิ่มการออกกำลังกายเข้าไปในตารางการดูแลตัวเองในแต่ละวันหรือสัปดาห์เท่านั้น ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากเกี่ยวกับเรื่องผิวและสิวที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะ การออกกำลังกายนั้นส่งผลโดยรวมต่อทุกระบบ ได้ทั้งกายและใจไปพร้อมกัน เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว (มากกว่า 2 ตัวแน่นอน) 

กลไกสำคัญของการออกกำลังกายที่ส่งผลต่อความแข็งแรงของผิวและทำให้สิวหายเร็วคือ ระบบหมุนเวียนเลือดลมดีเยี่ยม ซึ่งไม่ใช่แค่เลือดและน้ำเหลืองเท่านั้นที่ได้ไหลเวียนไปทั่วทุกอณูของร่างกาย แต่ยังรวมไปถึงพลังชีวิต (ชี่หรือลมปราณ) ที่ได้วิ่งอย่างเต็มสูบไปหล่อเลี้ยงทุกระบบร่างกาย ถึงปลายแขน ขา สมอง ผิวหนัง เอาออกซิเจนและสารอาหารเข้าเซลล์ และเอาของเสียและความร้อนสะสมในเซลล์ออกมาอย่างรวดเร็ว

ในส่วนของน้ำเหลือง ก็ได้หมุนเวียนเอาเม็ดเลือดขาวตัวใหม่ ๆ ที่มีพลังเข้าไปจัดการกับบริเวณที่อักเสบ ติดเชื้อ เป็นสิวอยู่ มีพิษขังอยู่ มีรอยสิวอยู่ เป็นแผลอยู่ ได้เพิ่มขึ้น ไปกินตัวเก่า ๆ ที่ตายแล้ว กำจัดออกมา

นอกจากนี้ เซลล์ที่ได้รับออกซิเจนเพิ่ม จะมีพลังต้านเชื้อโรค และมะเร็ง เพราะ สิ่งเหล่านี้ไม่ชอบออกซิเจน ยิ่งในเซลล์มีออกซิเจนมาก ก็หมายถึงเชื้อโรคและพิษในตัวจะลดลงไปเอง

และการออกกำลังกายที่ถูกจริต ถูกใจ กับเรานั้น จะทำให้สารความสุขหลั่งจากสมอง ซึ่งความรู้สึกสุขนี้ จะช่วยปรับให้พลังจิตของเราอยู่ในโซนบวก จะทำให้มีไอเดียดี ๆ ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ปัญหาที่เจออยู่ ก็จะเจอทางออกอย่างง่ายดาย

ซึ่งการออกกำลังเป็นประจำนั้น ถ้าทำได้ถูกต้อง ก็จะส่งผลต่อร่างกายดังที่ได้กล่าวไปแล้ว นี่เพียงแค่บางส่วนที่ยกมาเท่านั้น ก็ช่วยแก้ปัญหาสิวและผิวแพ้ง่ายได้เกือบ 100% แล้ว




คนส่วนมากมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องของการดื่มน้ำและมองเห็นว่าเรื่องน้ำไม่สำคัญเท่ากับการแสวงหาครีม อาหารเสริม แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากขาดน้ำ สิ่งที่เรากินและทา จะไม่สามารถแสดงผลอะไรได้มากมายเลย เพราะน้ำเป็นตัวกลางในการทำปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ ให้กับเซลล์ร่างกาย แม้กระทั่งเซลล์ผิว หากขาดน้ำ ก็จะทำให้พิษตกค้างในเซลล์ ซึ่งพิษนี้เกิดขึ้นตลอดทุกเสี้ยววินาทีอยู่แล้วจากการหายใจในระดับเซลล์ หากไม่มีน้ำเพียงพอ พิษจะออกจากเซลล์ไม่ได้ และเอาสารอาหารและออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ไม่ได้ ก็จะเป็นเหมือนต้นไม้ที่แห้งขาดน้ำ มีชีวิตอยู่แต่เหมือนร่างกายที่ตาย คือ ไม่สามารถสร้างปฏิกิริยาอะไรในเซลล์ร่างกายได้เลย ซ้ำพิษยังตกค้างอยู่เยอะด้ว

ในที่สุดแล้ว ทั้งพิษ ความร้อน ที่ตกค้าง จะทำให้ร่างกายพยายามขับออกทางเส้นลมปราณ และแสดงออกมาเป็นสิว ฝ้า อาการผื่นคัน นั่นเอง

ในหนึ่งวัน ร่างกายของมนุษย์ควรได้รับนำ้ประมาณ 2.5 ลิตรขึ้นไป ซึ่งต้องเป็นน้ำเปล่าที่สะอาด อุณหภูมิห้อง ไม่ทำให้เย็นหรือทำให้ร้อน จะเป็นน้ำที่มีพลังชีวิต เซลล์ดูดซึมไปใช้ได้เร็ว ทำให้ร่างกายชุ่มชื้นและเซลล์ทำงานได้ดีขึ้นจริง ไม่นับเครื่องดื่มต่าง ๆ และอาหารที่เรากิน


สิ่งที่คนเข้าใจผิดมากที่สุดและส่งผลเสียต่อสุขภาพและผิวพรรณมากที่สุด คือ นิยามคำว่า “อาหาร” ผิดไป ซึ่งเข้าใจว่า ทุกอย่างที่เข้าปากได้ = อาหาร 

แต่จริง ๆ แล้ว อาหาร คือ สิ่งที่กินเข้าไปแล้ว เซลล์ร่างกายเอาไปใช้ประโยชน์ได้จริง เข้าไปเสริมพละกำลังของเซลล์ได้จริง กินแล้วจะรู้สึกมีพลัง แข็งแรง จิตใจสงบ มั่นคง 

ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่กินแล้วทำให้ร่างกายเพลีย เหนื่อย เป็นโรค มีความผิดปกติต่าง ๆ จัดคลาสเป็นแค่ “ของกิน” เท่านั้น หมายถึง กินได้ แต่ไม่ใช่อาหาร เพราะไม่ได้ให้ประโยชน์ใด ๆ ต่อเซลล์ เป็นสิ่งที่เป็นพิษ อร่อยปาก แต่เซลล์ไม่ได้ต้องการ เข้าไปก็เป็นขยะตับและไตต้องมาจัดการอีก

สิ่งที่เป็นอาหารและเสริมพลังเซลล์ ก็จะเป็นกลุ่ม น้ำเปล่าอุณหภูมิห้อง ผัก ผลไม้สด smoothie ผักผลไม้ ไม่ใส่นมวัว นมข้นหวานและน้ำตาล น้ำมะพร้าว น้ำมันชนิดดี เช่น น้ำมันงาม้อน น้ำมันเมล็ดแฟล็ก เป็นต้น

ส่วนของกิน ได้แก่ เบเกอรี่ ขนม ที่ผสมไขมันทรานส์ ครีมเทียม มาการีน ฟาสต์ฟู้ด ของทอดที่ใช้น้ำมันผ่านกระบวนการ ของทอดที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ ขนมกรุบกรอบ อาหารกระป๋องที่โซเดียมสูง และของที่ผ่านกระบวนการทุกชนิด



ในปัจจุบันมนุษย์ได้รับแรงกดดันจากสิ่งแวดล้อมมาก ทั้งมลภาวะที่เป็นพิษ จิตของผู้คนที่เป็นลบ คับแคบ ข่าวลบ ๆ ภาวะเศรษฐกิจ การเงิน ภาวะหนี้สิน ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนก็จะได้รับผลกระทบในความเข้มข้นระดับที่แตกต่างกันไป และเลือกตอบสนองแตกต่างกัน

สำหรับผู้ที่ไม่ฝึกฝนในการบริหารจัดการความเครียด ก็จะนำไปสู่ความเครียดสะสม เป็นภาวะพลังลบที่กดพลังชีวิตอยู่ภายใน เพราะไม่ได้รับการสะสางและปลดปล่อยออก

ความเครียดเป็นอารมณ์อย่างหนึ่งที่มนุษย์มีเพื่อความอยู่รอด เพื่อให้มนุษย์เรียนรู้ที่จะรับมือกับปัญหาที่เข้ามากระทบ แต่ถ้าปล่อยให้ปัญหาดำเนินไปเรื้อรัง ยาวนาน ไม่แก้ไข และผลลัพธ์ในชีวิตยังไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ ก็จะทำให้พลังความเครียดทับถม ซึ่งพลังความเครียดที่มากเกินไปนี้ จะส่งผลให้ร่างกายหลั่งสารพิษออกมาเพิ่มขึ้น ทำให้ระบบต่าง ๆ เสียสมดุล แปรปรวน ฮอร์โมนผิดปกติ ระบบย่อยอาหารไม่ดี โพรไบโอติคส์ในลำไส้ลดลง ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ร่างกายมีภาวะเป็นกรดสูง

และในผู้หญิงที่เครียดสูง จะส่งผลให้ความเป็นผู้หญิงตามธรรมชาติลดลง หน้าอกเล็กลง ผิวหยาบกร้าน รูขุมขนใหญ่ หน้ามัน มีหนวด มีขน และมีบุคลิกแข็งกร้าว เพิ่มขึ้นได้ เพราะเหมือนต้องใช้ระบบฮอร์โมนของผู้ชายเข้ามาจัดการชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ฮอร์โมนผู้ชายเพิ่มสูงขึ้น ก็มีโอกาสเกิดสิวได้มากขึ้น



ผลจากความเครียดและการกินที่ผิดหลักที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ทำให้จำนวนโพรไบโอติคส์ในลำไส้มีน้อย และส่งผลต่อสุขภาพผิวของเราโดยตรง

โพรไบโอติคส์ ได้รับการยอมรับจากแพทย์หลายสาขาแล้วว่า เป็นแบคทีเรียชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมหาศาล ซึ่งถูกกล่าวไว้ในหนังสือของ หมอผิง แพทย์หญิงธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล ชื่อว่า ไมโครไบโอต้า อวัยวะที่ถูกลืม ว่าเป็นอวัยวะที่ 33 ของมนุษย์ทุกคน 

ประโยชน์ของโพรไบโอติคส์มีมหาศาล ซึ่งหลัก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผิว นั้น เขาจะช่วยรักษาระบบนิเวศน์ที่สมดุลและมีสุขภาพดีในระบบทางเดินอาหาร เขาจะคอยจัดการกับพิษและสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในระบบทางเดินอาหารของเรา ซึ่งปริมาณของเขาสัมพันธ์กับการดูแลสุขภาพของเราโดยตรง

นอกจากช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายแล้ว เขายังช่วยในการย่อยและดูดซึมสารอาหาร ช่วยระบบขับถ่าย แถมยังสามารถรีไซเคิลสารอาหารบางอย่างให้ร่างกายกลับได้ด้วย ซึ่งเมื่อระบบทางเดินอาหารมีสุขภาพดีและสะอาดด้วยระบบการทำงานของเขาตามธรรมชาติ ก็จะทำให้ผิวของเรามีสุขภาพดี สิวหาย ผิวพรรณผ่องใส เพราะเลือดและน้ำเหลืองสะอาด จากภายในสู่ภายนอกของแท้



พลังลบในที่นี้หมายถึง อารมณ์และความรู้สึกด้านลบที่สะสมอยู่ในจิต ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นอารมณ์ตกค้างมาจากเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งจบไปแล้ว

แต่เพราะ ไม่ได้ฝึกฝนการดูจิต ไม่ได้นั่งสมาธิ ไม่ได้วิปัสสนา ให้เห็นความจริง ทำให้คนจำนวนมาก มีชีวิตอยู่ในความคิดและความรู้สึกแห่งอดีต ทำให้ผลลัพธ์ในชีวิตก็ออกมาซ้ำรูปแบบเดิมๆ และทำให้พลังลบยิ่งสะสมทวีคูณเพิ่มขึ้น

ซึ่งถ้าจะให้บีมเลือกมาหนึ่งข้อในการรักษาสิวให้ได้ผลจริงและมีโอกาสหายได้จริง ๆ นั้น บีมจะเลือกเคลียร์พลังงานลบออกจากจิต ซึ่งวิธีการที่เวิร์คที่สุด คือ ฝึกฝนจนเราสามารถให้อภัยและแผ่เมตตาให้คนที่เรารู้สึกไม่ดีด้วยได้จากใจจริง เพราะ การให้อภัยทาน คือ การตัดโซ่แห่งกรรมผูกพันออกจากกัน ถ้าเราเป็นคนตัด เราก็จะเป็นอิสระจากพลังลบนั้น ๆ ตลอดไป

และต้องฝึกฝนสติอยู่เสมอ เพราะพลังลบนั้น เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ มันอาจจะกลับมาในความคิดใหม่ และเราอาจจะได้พบเจอคนที่อยู่แวดล้อมส่งพลังนี้มา สิ่งที่ทำได้คือ มีสติรู้ทัน และอย่าสะสมมันไว้ รีบปล่อยออกเร็ว ๆ เพื่อความโล่ง โปร่ง สบาย และเป็นอิสระของจิตในตัวเราเอง ซึ่งเมื่ออารมณ์ลบ ๆ เช่น โกรธ โมโห อิจฉา อาฆาต พยาบาท หายไปจากจิตแล้ว จะส่งผลให้ระบบต่อมไร้ท่อ ที่ส่งผลต่อระบบฮอร์โมนปรับตัวเข้าสู่สมดุล ทำงานตามธรรมชาติ และสารเครียดในร่างกายลดลง ทำให้พิษในร่างกายลดลง นี่คือที่มาว่า เหตุใดผู้ปฏิบัติธรรม แม้ไม่ทาครีมและทานอาหารเสริม ก็มีผิวที่ผ่องใส สะอาด มีออร่า เพราะภายในมีแต่พลังงานดีนั่นเอง



ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ผู้หญิงที่ต้องทำงานแข่งขันกับเวลา มีความรับผิดชอบไม่แตกต่างจากผู้ชายในปัจจุบัน จะส่งผลให้ฮอร์โมนไม่สมดุล 

นอกจากนี้ การกินของหวาน และน้ำตาลมาก ๆ ยังส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) ซึ่งกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น* 

ลองสังเกตค่ะว่า วันไหนที่นั่งทำงานเครียด ๆ หนัก ๆ วันนั้นจะหน้ามันผิดปกติ แตกต่างจากวันที่เราไปเที่ยวสบายใจ ทั้งที่ปัจจัยอื่น ๆ อาจจะเหมือนกันเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเรื่องอาหาร การดื่มน้ำ การนอน การทาครีม การทานอาหารเสริม ฯลฯ เป็นต้น

* อ่านเพิ่มเติมที่ https://bye-bye2acne.blogspot.com/2009/08/1.html


คนที่มีปัญหาสิวและผิวอ่อนแอส่วนมาก จะมีประวัติการกินยามาก่อน ซึ่งจะส่งผลให้ตับและลำไส้ร้อน อักเสบเรื้อรัง ซึ่งไม่ถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ร่างกายรู้สึกไม่สบาย อาจมีอาการเกี่ยวกับท้องไส้ไม่ปกติ เช่น ขับถ่ายไม่ปกติ ท้องอืด อาหารย่อยยาก เรอ เป็นประจำ เป็นต้น 

สำหรับยารักษาสิวที่ถูกจ่ายเพื่อรักษาสิวในปัจจุบันนี้ มักจะมี 2 ประเภท คือ ยาปฏิชีวนะ เช่น Doxycycline และยาในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นเม็ดรี ๆ สีม่วงหรือชมพู กินแล้วปากแห้ง ตาแห้ง แต่มักถูกใจคนที่หน้ามัน เพราะ กินแล้วหน้าจะไม่มัน

แต่ทั้งสองตัวนี้ มี side effects ร้ายแรงต่อร่างกายพอสมควร สามารถค้นหาได้ใน google แต่ในที่นี้บีมจะสรุปให้โดยสังเขปพอเข้าใจว่า การกินยาส่งผลต่อสุขภาพผิวอย่างไรบ้าง

ในกลุ่มยาปฏิชีวนะ กลุ่มนี้จะเป็นยาฆ่าเชื้อ เหมือนทิ้งบอมบ์ลงลำไส้ กินแล้วจะส่งผลหลัก ๆ 2 อย่างคือ แบคทีเรียตายเรียบ ซึ่งไม่นับว่าเป็นชนิดไหน แต่ตายทั้งหมด จึงทำให้ตอนที่กินยา สิวหาย เพราะเชื้อหายไป แต่ลำไส้พังและเสียสมดุลมาก เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตแต่ละวัน ของกินที่กินเข้าไป ส่งเสริมแบคทีเรียชนิดไม่ดีให้เติบโตมากกว่า และยึดครองผนังลำไส้ของเรา ซึ่งพวกนี้จะปล่อยสารพิษออกมา และถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและน้ำเหลืองของเรา ทำให้เลือดและน้ำเหลืองมีพิษปะปนจำนวนมาก และเป็นภาระให้ตับ ไต ระบบน้ำเหลือง กำจัดออก ซึ่งทำงานหนักเกินไปในแต่ละวัน

และผลอย่างที่สองคือ ด้วยตัวยาเอง เป็นสิ่งที่เซลล์ร่างกายไม่ต้องการ เมื่อกินแล้ว จะต้องถูกกำจัดออกจากร่างกาย โดยตับจะทำหน้าที่นี้ ซึ่งลองจินตนาการดูว่า ใครบางคน เคยกินยานี้มามากแค่ไหน นานเท่าไหร่ (ซึ่งปกติแล้ว ถ้าเราคิดถึงตรรกะการใช้ยาปกติ เช่น ไปทำจมูกหรือผ่าฟันคุด ยานี้จะถูกจ่ายให้กินไม่เกิน 7 วัน)

แต่การรักษาสิว หลายคนมักจะถูกจ่ายยามาอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเดือนจนถึงหลายเดือน กว่าจะได้หยุดยา ซึ่งทำให้ตับทำงานหนัก และพิษของยาก็ทำให้ตับพร่องพลัง ตับร้อนเพราะสะสมพิษจากยาด้วย (สิวตรงแก้ม ขมับ หน้าผาก กราม ที่แดง ๆ อักเสบ หาสาเหตุไม่พบ ก็เป็นผลมาจากการกินยาตัวนี้ด้วยค่ะ ซึ่งหลายคนที่ล้างลำไส้สะอาดแล้ว แต่ยังมีสิวแดง ๆ บริเวณเหล่านี้ แสดงว่า ตับอาจได้รับพิษเมื่อครั้งกินยานี้ ซึ่งถ้าตับมีสุขภาพดี พิษออกหมดแล้ว สิวมักจะยุบหายไปเอง และรอยแดงจะเริ่มปรับเป็นรอยดำ)

ยาอีกตัวหนึ่งคือ เม็ดออกสีชมพูหรือม่วง กลุ่มอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ ยานี้ร้ายแรงยิ่งกว่าตัวแรก และได้รับการฟ้องร้องจากคนในประเทศอเมริกาต่อบริษัทขายยาหลายเคส* เพราะ มีทั้งเคสที่ลูกฆ่าตัวตาย ที่คาดว่าเป็นผลมาจากการกินยาตัวนี้ และเคสที่เกิดปัญหาสุขภาพที่คาดว่าเป็นผลมาจากการได้รับการจ่ายยานี้

สำหรับ side effect นั้นมีหลายระดับ แต่ที่น่าเป็นห่วงและเป็นข้อเท็จจริงก็คือ ใครก็ตามที่ต้องกินยานี้ จะต้องเซ็นต์ใบอนุญาตต่อคลินิกว่า ไม่เป็นผู้ตั้งครรภ์ (เพราะจะทำให้แท้ง) และอีกอย่างหนึ่งคือ จะต้องได้รับการตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจดูค่าไขมันในตับ ว่าสูงขึ้นผิดปกติหรือไม่ แสดงว่ายานี้มีผลต่อตับสูงมาก

และในทางปฏิบัติแล้ว ผู้ที่กินยานี้จะรู้สึกได้เลยว่า น้ำมันที่ออกมาที่ผิวลดลง แล้วมันไปที่ไหน? ร่างกายของเราต้องผลิตน้ำมันเพื่อมาเคลือบผิว ทำให้ชั้นผิวแข็งแรง ปกป้องผิวจากเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมได้ แต่เมื่อไม่มีน้ำมันนี้แล้วผิวจะอ่อนแอลง แม้หน้าจะดูใส แต่เกราะป้องกันผิวกลับไม่สมดุล จึงอาจเป็นสาเหตุให้ผิวอ่อนแอ แพ้ง่าย และน้ำมันที่ร่างกายต้องส่งออกมา ถูกนำไปเก็บไว้ที่ตับ ซึ่งทั้งพิษจากยาและกลไกการเก็บน้ำมันเอาไว้แทนที่จะต้องระบายออกไปตามธรรมชาติ สุดท้ายแล้ว ก็มาสะสมที่ตับทั้งหมด

ซึ่งจากประสบการณ์และการสังเกต บีมพบว่า เคสที่เคยกินยากลุ่มนี้มานาน รวมแล้วเกิน 30 วันขึ้นไป และบางรายเจอโดสหนัก เพราะ ในการจ่ายยาจะต้องให้คนไข้กินครบโดส ซึ่งจะต้องต่อเนื่อง 3-6 เดือน นั่นหมายถึงว่า ตับรับภาระหนักมาก และโอกาสที่ตับจะร้อน พิษสะสมในตับ ไขมันสะสมในตับ ก็สูงมาก ซึ่งเคสในลักษณะนี้ จะใช้เวลายาวนานกว่าเคสอื่นๆ ทั้งหมด และมีภาวะ healing crisis ที่ยาวนาน ขึ้น ๆ ลง ๆ มากกว่าผู้ที่ไม่เคยใช้ยานี้หรือใช้เวลาน้อยกว่านี้

*คลิกดูเพิ่มเติมที่ http://lawsuits.lawinfo.com/Accutane/index.html


ปัจจุบันนี้มีโรคอย่างหนึ่งเรียกว่า ภูมิแพ้อาหารแฝง ที่เป็นอาการแพ้อาหารกลุ่มโปรตีนที่ปกติแล้วไม่ได้แพ้ แต่เมื่อกินซ้ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่กินอาหารหลากหลาย ก็อาจก่อให้เกิดอาการนี้ได้ และเนื่องจากสิวเกี่ยวเนื่องกับระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณกราม คาง คอ ซึ่งเป็นบริเวณที่จะสะท้อนปัญหาที่เกี่ยวกับระบบน้ำเหลืองและภูมิคุ้มกัน เมื่อเรากินอาหารที่เรามีอาการแพ้แฝง จะมีสิวหัวขาว สิวอักเสบ หรือ สิวซีสต์ขึ้นบริเวณ เมื่อตัดสาเหตุอื่นออกไปหมดแล้ว ทางที่ดีที่สุด คือ การไปตรวจหาอาหารที่แพ้ แล้วงดไปก่อน ตามคำแนะนำในบทความภูมิแพ้อาหารแฝง โดย สสส. ที่ลิงค์บรรทัดแรก หรือ ลองสังเกตด้วยตัวเองว่าเมื่อกินอาหารที่มีอยู่ในลิสต์ในภาพด้านล่างนี้แล้วมีสิวที่ คาง คอ กราม ขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงหรือไม่ สิวอาจจะมีลักษณะต่างกันไป อาจจะเป็นหัวเล็ก ๆ สีขาว สีเหลือง คัน หรือเป็นสิวอักเสบ หรือซีสต์เม็ดโต ซึ่งแต่ละคนจะขึ้นต่างกัน และอาจจะต่างกันตามลักษณะของอาหารที่แพ้ด้วย ต้องสังเกตให้ดีค่ะ ซึ่งเมื่อหยุดกินแล้ว และไม่ได้มีอาการท้องผูกเพิ่มเติม สิวก็จะยุบไปเองเพราะไม่มีตัวกระตุ้น

ความคิดเห็น