11 FAQ: 11 คำถามที่ถามบ่อย สิวและการรักษาสิวแนวทางของ “บีมสิวซีเคร็ต”


โดย พีรญา สุขพิมลกุล (บีม) เจ้าของพ็อคเก็ตบุ๊ค “สิวซีเคร็ต” และหนังสือสิวหลายเล่ม เจ้าของบล็อก ปฏิวัติความคิดพิชิตสิว Facebook: @BeamSiwsecret Line: @ibeam

1. สิวของเราเกิดจากอะไร?
2. ทำไมผิวของเราจึงแพ้ง่าย?
3. ทำไมผิวอ่อนแอ ขาดน้ำ ทั้งที่หน้ามัน?
4. ทำไมการรักษาด้วยยาจึงไม่ได้ผล?
5. หากต้องการรักษาแนวธรรมชาติ จะต้องหยุดยาและการหาหมอในทันทีหรือไม่?
6. สามารถใช้การเลเซอร์ร่วมด้วยได้ไหม?
7. การรักษารอยสิวทำอย่างไร ด้วยแนวทางธรรมชาติ?
8. จะหายขาดจากสิว 100% หรือเปล่า?
9. ไม่อยากให้เกิดอาการสิวขับพิษ แต่อยากหายด้วยวิธีธรรมชาติ จะทำได้ไหม?
10. กินอาหารเสริมระหว่างรักษาสิวได้ไหม?
11. ถ้าเลือกอาหารไม่ได้ จะต้องทำอย่างไร?

สิวของเราเกิดจากอะไร?

ตอบ จากประสบการณ์ 7 ปีของบีมที่ได้พูดคุยสืบประวัติคนที่มีปัญหาสิวมากว่า 100,000 ราย สรุปได้ว่าในยุคปัจจุบันและในเมืองไทย สิวเกิดมาจาก 4 สาเหตุหลัก ๆ ด้วยกันคือ
1. การใช้ครีมหรือยาที่มีสารสเตียรอยด์เป็นส่วนผสม
2. ดูแลผิวไม่ถูกวิธี เลือกผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม เลือกผลิตภัณฑ์แบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์
3. การใช้ชีวิตผิดธรรมชาติ กินผิดธรรมชาติของร่างกายจนทำให้ระบบร่างกายเสียสมดุล (โดชาเสียสมดุล ระบบเลือดลม ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และระบบกำจัดพิษเสียหาย)
4. การกินยาและทายารักษาสิว


ทำไมผิวจึงแพ้ง่าย?

ตอบ ผิวที่แพ้ง่าย เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ เพราะเจอกับสารเคมีจำนวนมากทุก ๆ วัน พูดง่าย ๆ ว่า ร่างกายสะสมพิษเยอะ กินยารักษาสิวและยาอื่นๆ มาเยอะ ใช้ครีมมีสเตียรอยด์เยอะ เจอพิษในสภาพแวดล้อมเยอะ ความเครียดเยอะ จนภูมิคุ้มกันจัดการไม่ไหว ตับจัดการไม่ไหว ไตจัดการไม่ไหว แล้วก็ต้องคายออกมาอยู่ในเลือด และน้ำเหลือง และมันก็ไหลผ่านผิวหนังของเรา เมื่อเจอกับอะไรที่ไม่ควรไปต่อต้าน เม็ดเลือดขาวเราก็ดันไปต่อต้าน ทำให้เกิดอาการแพ้ขึ้นมาได้อยู่เสมอ ๆ วิธีการแก้ปัญหาผิวแพ้ง่าย ไม่ใช่การยอมจำนวนใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่ายไปตลอด แต่ต้องยอมรับปัญหา และทำในสิ่งที่ให้ผลลัพธ์ตรงข้ามคือ ต้องทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานเป็นปกติให้ได้ ไม่โอเวอร์แอคติ้ง เห็นอะไรก็ต่อต้านไปหมด เราต้องลดพิษในลำไส้ ตับ ไต เพิ่มการหมุนเวียนของน้ำเหลืองและเลือด กินอาหารคลีน อาหารไทย ตามโดชาของตัวเอง (อายุรเวท) ปรับผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับผิวของเราในแต่ละสเต็ปพัฒนาการ อย่ายึดติดกับผลิตภัณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะร่างกายและผิวเราเปลี่ยนตลอดเวลา ในที่สุด เราจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นปกติแต่อ่อนโยนได้

ทำไมผิวอ่อนแอ ขาดน้ำ ทั้งที่หน้ามันมาก?

สาเหตุที่หน้ามันแต่ผิวดูเหี่ยวและขาดความชุ่มชื้น และแพ้ง่าย เป็นเพราะใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่รุนแรงต่อผิว มีส่วนผสมของ SLS หรือ SLES (Sodium Loreth Sulfate และ Sodium Ether Lauryl Sulfate) อย่างต่อเนื่อง และซ้ำเติมผิวด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว AHA, BHA และยารักษาสิวที่มีส่วนผสมของเบนซอยเพอร์ร็อกไซด์ (Benzoyl Peroxide – BP) อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการขัดถูผิวหน้าแรง ๆ ทั้งที่ทำด้วยตัวเองและไปทำที่สถานเสริมความงามต่าง ๆ สรุปคือ ไม่ทะนุถนอมและรุนแรงกับผิวจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามนั่นเอง เป็นสาเหตุที่ทำให้ปราการหรือกำแพงผิวตามธรรมชาติ (Skin Barrier) เสียไป ทำให้ผิวเหมือนมีแผลและรูเปิดอยู่มากมาย ทำให้สิ่งแปลกปลอม เช่น ฝุ่นละออง สารเคมีในผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ครีม ยา และอื่น ๆ สามารถทะลุผ่านผิวได้โดยง่าย ทำให้ผิวยิ่งอ่อนแอ และไขมันในร่างกายก็ผลิตออกมาเพิ่มขึ้น เพราะผิวส่งสัญญาณว่าน้ำมันในผิวหายไป จึงต้องผลิตเพิ่ม เพื่อปกป้องผิวจากภยันตราย (น้ำมันเป็นองค์ประกอบหนึ่งของกำแพงผิว) ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงทำให้ผิวอ่อนแอและมันมากจนผิดปกตินั่นเอง สังเกตได้จากการซับมันแล้วยังมีริ้ว ๆ อยู่บนผิวหน้ามากมาย


ทำไมการรักษาด้วยยาจึงไม่ได้ผล?

ตอบ เพราะสิวไม่ใช่โรคติดเชื้อ และสาเหตุจริง ๆ เกิดจากการเสียสมดุลของโดชาหรือธาตุในร่างกาย รวมไปถึงพิษสะสมต่อเนื่องยาวนาน ระบบอวัยวะภายในและระบบร่างกายที่เสื่อมโทรม ดังนั้น การใช้ยาเป็นเพียงแค่การแก้ “ปลายเหตุ” แต่เป็น “ต้นเหตุ” ของสิวเรื้อรังตามมา เพราะยาจะไปสะสมและฤทธิ์ของยาจะทำลายตับ ไต และลำไส้ ซึ่งเมื่ออวัยวะภายในเสื่อมลง เสียไป เมื่อหยุดยาก็ทำให้สิวกลับมาเป็นมากขึ้น ซึ่งปกติแล้ว คนไม่ได้รักษาที่สาเหตุและไปกินยา ก็จะมีพฤติกรรมทำลายสุขภาพด้วย เช่น นอนหลัง 4-5 ทุ่ม กินดึก (หลัง 6 โมง) กินอาหาร Fast Food ไม่ออกกำลังกาย ตื่นสาย ไม่ถ่ายก่อน 7 โมง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพฤติกรรมที่กระทำประจำวัน จนเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายเสื่อมสภาพลง ดังนั้น การแก้ปัญหาคือ ต้องนำร่างกายกลับสู่สมดุลเท่านั้น และต้องทำให้ร่างกายกลับมาสะอาด ทำงานเป็นปกติ สิวก็จะหายไปเอง จะใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ ก็อยู่ที่พิษสะสม ทั้งในมุมของระยะเวลาในการสะสมและความแรงของพิษสะสม ความเข้าใจในแนวทางธรรมชาติองค์รวม และวินัยในการดูแลตัวเองในแต่ละวัน


หากต้องการรักษาแนวธรรมชาติ จะต้องหยุดยาและการหาหมอในทันทีหรือไม่?

ตอบ หยุดได้เลยทันที เพราะมันส่งผลกระทบต่อร่างกายไปเรียบร้อยแล้ว และการหยุดยารักษาสิวประเภทยาปฏิชีวนะทันที ทานไม่ครบคอร์ส อาจทำให้เชื้อดื้อยา แต่ในความเป็นจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องกลับไปกินยาอีกต่อไป ดังนั้น จึงไม่ต้องกลัวเรื่องเชื้อดื้อยา ถ้ามั่นใจว่าธรรมชาติคือทางออกทางเดียวของปัญหาสิว


สามารถใช้การเลเซอร์ร่วมด้วยได้ไหม?

ตอบ บีมไม่แนะนำให้ใช้เลเซอร์ด้วยประการทั้งปวง เพราะประสบการณ์ส่วนตัว จากการใช้เลเซอร์ Fraxel 150 ช็อต แบ่งเป็นการทำ 2 ครั้งในปี 2557 แล้วมาใช้เซรั่มลูมิเนสฟื้นฟูเนื้อผิวในภายหลัง รู้เลยว่า เลเซอร์ตัวนี้ ทำร้ายทำลายเซลล์ผิวแบบเต็ม ๆ (เป็นประสบการณ์และความเห็นส่วนตัว เพื่อน ๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเชื่อและคิดเห็นตามบีมค่ะ แต่ตัวบีม ไม่เชียร์เลย ไม่ว่าจะเลเซอร์อะไร)


การรักษารอยสิวทำอย่างไร ด้วยแนวทางธรรมชาติ?

ตอบ สำหรับบีมแล้ว บีมไม่ค่อยนับเวลาว่าเมื่อไหร่รอยสิวจะหาย เพราะด้วยเวลาที่ผ่านไป มันมักจะจางหายไปเอง (สำหรับบีมก็ด้วยการดูแลตัวเองให้ถูกกับธรรมชาติของตัวเอง และบีมก็วางใจเซรั่มลูมิเนสค่ะ ก็ใช้แค่ตัวนี้มาตลอด ไม่ว่าอะไรที่เราเคยกังวล ถ้าทาต่อเนื่อง มันก็จางหายไปเองหมด และอีกตัวที่ชอบก็คือ มาส์กพิฆวรางค์ค่ะ บีมว่าสำหรับคนที่มีงบประมาณไม่มากนักที่จะใช้เซรั่มลูมิเนส ใช้มาส์กพิฆวรางค์ค่ะ และใช้อย่างต่อเนื่อง มันอาจจะเห็นผลช้ากว่า แต่มันก็ดีกว่าเวชสำอางมีตัวยา มันเป็นสมุนไพร ไม่ต้องกลัวสารเคมีใด ๆ เข้ากระแสเลือดและตับ ไต ตรงนี้ไม่ได้มาขายของ แต่แบ่งปันประสบการณ์ว่า บีมใช้อะไรและรู้สึกอะไรเท่านั้นเองนะคะ ซึ่งเพื่อน ๆ สามารถทดลองแสวงหาอะไรที่จะตอบโจทย์เพื่อน ๆ ได้ค่ะ ขอให้มันปลอดภัย ดูส่วนผสมก่อนเสมอ อย่าหลงกลการตลาด)

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนทั่วไป บีมให้ความรู้เพิ่มเติมจากประสบการณ์นะคะว่า รอยสิวจะมี 3 แบบ คือ
1. หลุมสิว
2. รอยดำ
3. รอยแดง

หลุมสิว - หลุมสิวเหมือนรอยแผลเป็นค่ะ ถ้าเราเคยเป็นแผลแล้วมันเป็นผิวที่แตกต่างจากเดิม หลุมสิวเราก็แบบนั้นล่ะค่ะ ดังนั้น ให้นึกถึงว่า สภาพผิวที่เป็นหลุม ถ้าเป็นหลุมใหม่ ๆ ผิวหนังที่ยังสดและแบ่งตัวได้ ถ้าเรากระตุ้นให้ Fibroblast (เซลล์สร้างอีลาสตินและคอลลาเจนในผิว) ให้มันทำงานและสร้างโปรตีนในผิวได้มาก มันก็จะสร้างขึ้นมาทดแทนส่วนที่สึกหรอไป ซึ่งตัวที่ทำได้ก็จะเป็นกลุ่ม Stem Cell Growth Factors แต่ถ้าเป็นแผลเก่านานแล้ว มันก็ยังคงตื้นได้อยู่ แต่ต้องใช้เวลานานกว่าแผลสิวใหม่ๆ ซึ่งอาจจะไม่เหลือรอยและหลุมเลยแม้แต่น้อยถ้าเราทาตั้งแต่ตอนเป็นแผลใหม่ๆ หรืออาจจะมีสารสกัดหรือสมุนไพรที่จะทำงานกระตุ้นการสร้างโปรตีนในผิวได้ ก็ลองค้นหาดูค่ะ แต่สำหรับบีม จากประสบการณ์ตรงแล้ว บีมหายกับเซรั่มของลูมิเนส ส่วนคุณเพชร เจ้าของแบรนด์พิฆวรางค์ หลุมสิวหายกับมาส์กพิฆวรางค์ของเธอค่ะ อันนี้คงต้องทดลองดูเองว่าชอบแบบไหนค่ะ คนเราชอบไม่เหมือนกัน (ความรู้สึกและอารมณ์ตอนใช้) ต้องวัดเอง เลือกเอง บีมแค่คัดเลือก ตัดตัวเลือกให้เหลือน้อยที่สุดให้แล้วค่ะ ไม่ต้องไปลองผิดเยอะ ๆ

สำหรับบีม การเลเซอร์รักษาหลุม ไม่ได้ผลโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามค่ะ และยังทำให้เซลล์ผิวเสียหายด้วย (ความเห็นและประสบการณ์ส่วนตัว)

รอยดำ - เกิดจากตอนที่ผิวอักเสบจากตอนเป็นสิว เมลานินถูกผลิตมากกว่าปกติ ทำให้ตอนสิวหาย ผิวเกิดรอยดำขึ้นมา ณ จุดที่เคยเป็นสิวค่ะ ดังนั้น หากจะต้องป้องกันขนาดและความรุนแรงของรอยดำ จะต้องป้องกันตั้งแต่ตอนเป็นสิว คือ ถ้ามีสิวต้องให้ยุบเร็วที่สุด โดยไม่ใช้ยา แต่ใช้การปรับพฤติกรรม การออกกำลังกาย และการกินสมุนไพรและอาหารปรับสมดุลและต้านการอักเสบ และหลีกเลี่ยงความร้อนและแสงแดด ที่จะกระตุ้นให้เมลานินถูกผลิตมากขึ้นเพิ่มเติมจากการอักเสบค่ะ แต่พอเรามีรอยดำแล้ว และตรงนั้นเรียบ ไม่มีสิวแล้ว สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการลดเม็ดสีเมลานิน เช่นเดียวกับตัวที่ใช้รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ซึ่งมันก็มีหลายประเภท บางอย่างอาจเป็นเซรั่ม บางอย่างอาจเป็นครีม บางอย่างเป็นน้ำมัน ก็เลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิวและโดชาตัวเองค่ะ และควรช่วยให้ผิวมีการสร้างเซลล์ขึ้นมาทดแทน ดันเซลล์เก่าให้ผลัดขึ้นและออกไปตามวงจรปกติคือ 28 วันให้ได้ (ผิวที่เสื่อม จะใช้เวลาสร้างและดันเซลล์ใหม่ขึ้นมานานกว่านี้) อาจจะใช้พวกโทนเนอร์มะเฟือง (ถ้าใช้ได้) ตามที่แจ้งเลยค่ะ ผลิตภัณฑ์นี่ต้องลองใช้ดูเอง แต่จะใช้ตัวไหนได้ไม่ได้ จะอยู่ที่โดชาและความแข็งแรงของผิวเป็นหลักค่ะ) สำหรับบีมเอง บีมใช้เซรั่มลูมิเนส มาส์กพิฆวรางค์และ Night Cream ของลูมิเนส สำหรับรอยดำค่ะ

รอยแดง - รอยแดง ทายาไม่หายแน่นอนค่ะ เพราะมันเป็นเรื่องความร้อนของระบบภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตับ ลำไส้ และเลือดของเรา ถ้าระบบเหล่านี้มีพิษและความร้อนอยู่มาก จะมีรอยแดงค่ะ และอาจมีสิวนูน ๆ แต่ไม่มีหัวอยู่ แต่เราคิดว่าไม่เป็นสิวแล้ว จริง ๆ แล้วเข้าใจผิดค่ะ วิธีการแก้ไข ไม่ใช่การทาครีม แต่คือ การล้างพิษลำไส้ ล้างตับ ทานสมุนไพรต้านการอักเสบตามโดชาตัวเอง และ การทานอาหารฤทธิ์เย็น (ลดความร้อนในร่างกายลง) เช่น แตงโม ย่านาง ใบเตย บัวบก (ห้ามเติมน้ำตาล)

จะหายขาดจากสิว 100% หรือเปล่า?

ตอบ หากเข้าใจในมุมว่าสิวเกิดจากการใช้สารเคมีกับหน้า มีพิษสะสมและการเสียสมดุลของร่างกายจากจุดสมดุลธรรมชาติของเรา ดังนั้น การที่เราจะหายหรือจะกลับมาเป็นอีก ก็อยู่ที่พฤติกรรมและความเข้าใจในการดูแลร่างกายของเราเท่านั้นเองค่ะ ถ้าเราไม่สร้างเหตุที่จะทำให้ตัวเราเป็นสิว มันก็จะไม่เป็นอีก

ไม่อยากให้เกิดอาการสิวขับพิษ แต่อยากหายด้วยวิธีธรรมชาติ จะทำได้ไหม?
ตอบ ไม่ได้ค่ะ เพราะการขับพิษเป็นกระบวนการหนึ่งของ Healing Crisis (หรือภาวะฟื้นฟูร่างกาย) ตามธรรมชาติ ดังนั้น จะต้องทำใจเตรียมพร้อมยอมรับกระบวนการนี้ก่อน ซึ่งบอกไม่ได้ว่าจะออกมารูปแบบไหน มากน้อยเพียงใด แต่เจ้าตัวจะรู้ดี โดยประเมินจากยาที่เคยกิน พฤติกรรมที่เคยทำ ว่าทำลายสมดุลสุขภาพมากเพียงใดค่ะ มันก็จะมากตามนั้น แต่ข่าวดีก็คือ บีมมีวิธีลดภาวะสิวขับพิษ อาการซ่านพิษ ให้น้อยลง มีวิธีการเตรียมตัว การถอนพิษ ช่วยระบายพิษ เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงขับพิษได้อย่างเข้าใจและหายเร็วขึ้น

กินอาหารเสริมระหว่างรักษาสิวได้ไหม?

ตอบ เราสามารถทานอาหารเสริมที่จำเป็น (ที่เราขาดจริงๆ) และอาหารเสริมที่มีคุณภาพดีได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรทานอาหารเสริมเป็นอาหารหลัก ควรทานแต่พอดี ให้เน้นไปที่การใช้อาหารและสมุนไพรในการปรับสมดุล และให้อาหารเสริม เสริมในส่วนที่ยังขาดจากอาหารและสมุนไพรเท่านั้นค่ะ ซึ่งแต่ละคนจะต้องการอาหารเสริมมากน้อยแตกต่างกัน อยู่ที่ว่าเขาจะสามารถหาสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายต่อวันให้ครบถ้วนได้มากน้อยเพียงใด ให้หลีกเลี่ยงและระวังอาหารเสริมที่ปนเปื้อน ทำไม่ได้มาตรฐาน และอาจตกค้างในร่างกาย เป็นภาระต่อตับและไตต่อไปได้


ถ้าเลือกอาหารไม่ได้ จะต้องทำอย่างไร?

ตอบ จริง ๆ แล้ว ถ้าเรามองหา เราจะมองเห็นค่ะ เราอย่าพึ่งคิดว่ายาก ทำไม่ได้ อย่าพึ่งตัดโอกาสการดูแลตัวเองด้วยคำว่า “หาอาหารไม่ได้” แต่ลองตั้งคำถามใหม่ว่า “หาอย่างไร” ก่อน จะทำยังไงเพื่อให้เราสามารถกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพตัวเองให้ได้มากที่สุด ซึ่งจริง ๆ แล้วใน 1 วัน เราไม่ได้ต้องการอาหารมากมายนักหรอกค่ะ เราจะรู้เอง ถ้าเรากินมากไป เราจะอึดอัด ง่วงนอน อืดท้อง นั่นคือ กินมากไป และกินของที่ร่างกายเอาไปใช้ไม่ได้ แต่ถ้ากินแล้วรู้สึกมีพลัง เบา สบาย แสดงว่า ร่างกายเราได้เอาอาหารไปใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ ถ้ากินไม่พอ เขาจะส่งสัญญาณมาเอง ว่าไม่มีพลังนะ ต้องกินให้มากขึ้น ซึ่งควรจะมีนมถั่วเหลืองหรือนมธัญพืชติดเอาไว้ พอหิว เราเอาพวกนี้มากินก่อน จะลดอาการสวาปามอาหารไร้ประโยชน์แบบไร้เหตุผลไปให้มากทีเดียว เพราะท้องเราอิ่มพอประมาณแล้วค่ะ และบีมจะชอบ “ภูแว” เป็นผงธัญพืชไม่ขัดสีค่ะ ลองทานมาสักพักแล้วโอเคมาก ไม่ต้องย่อยเลย ร่างกายเอาไปใช้ได้เลย ซึ่งบีมไม่ได้ค่าโฆษณาค่ะ แต่เป็นผู้บริโภคจริง ๆ ถ้าอยากได้แรงบันดาลใจเรื่องการจัดหาอาหารให้ตัวเอง ลองอ่านหนังสือ Kitchen Mare คิด เช่น แมร์ ของคุณกาละแมร์ พัชรศรี เบญจมาศนะคะ แม้เธอจะยุ่งมาก แต่ก็มีเวลาจัดสรรอาหารให้ตัวเองได้

ความคิดเห็น