อัพเดทผลการทดลองการดูแลผิวหน้า ธรรมชาติ VS เคมี (12.06.59)
อัพเดทการทดลองล่าสุด เกี่ยวกับการดูแลผิวหน้า และสิ่งที่ตกผลึก (ก่อนจะลืม ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานกว่านี้)
สิ่งที่เพื่อน ๆ ต้องเข้าใจก่อนคือ
1. บีมเขียนในมุมผู้ใช้สินค้า ไม่ใช่มุมคนทำธุรกิจ
2. บีมเขียนในมุมคนคนหนึ่งที่อยากแก้ปัญหาที่ตัวเองสงสัย
3. เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่อยากให้ไปคิดต่อกันอีกทีและปรับให้เหมาะสมกับตัวเองค่ะ เพราะมันอาจไม่ใช่กับทุกคน
เพื่อน ๆ จำได้ใช่ไหมคะว่า...สามวันก่อนบีมเกิดความรู้สึกไม่อยากใช้ของที่ไม่ใช่ธรรมชาติหรือไม่ใกล้เคียงธรรมชาติเลย
แล้วบีมก็ไปเอาของที่ไม่ได้ใช้มาสักพักแล้วกลับมาใช้ คือ
1. น้ำมันงาขาวแบบสกัดเย็น เอามาแทน RJK ตัว Cleansing สูตรน้ำมัน
2. สบู่มะพร้าวผสมสบู่สับปะรดของ Maclear เอามาแทนเจลล้างหน้ามะเฟืองน้ำผึ้งที่พึ่งซื้อมา ของสวนปานะ
3. พอดีอยู่บ้าน เลยไม่ทากันแดด
4. ถ้าแต่งหน้า ก็ทาครีมกันแดดของภัทรพัฒน์ เพราะมันจะมีเบสอยู่ แล้วลงด้วยแป้งฝุ่นศรีจันทร์ แล้วลงแป้งพัฟทานาคา จบ.
*** เช้า ***
สบู่มะพร้าวผสมสับปะรดล้างหน้า เสร็จแล้วปล่อยผิวยาวเลยตลอดวัน เพราะบีมทำงานอยู่บ้านไม่ได้ไปไหนค่ะ
*** ก่อนนอน ***
ล้างหน้าด้วยสบู่ 2 ก้อนนั้นเลย ทาน้ำมันงาขาว แล้วนอนไปเลย
แต่ถ้าวันไหนแต่งหน้า (ซึ่งก็พึ่งไม่กี่วันนี่เองค่ะ ไม่ถึง 5 วันนะคะ ที่เริ่มทำ) ก็จะใช้น้ำมันงาขาวแทน Cleansing เช็ดเครื่องสำอางออกไปแทน
-----------------------------------------------------------
ผลการทดลองของบีม
วันที่ 3 ที่ใช้สบู่และไม่ทาบำรุงอะไรเลย ยกเว้นการใช้น้ำมันงาบำรุง บีมพบว่าผิวหน้าเริ่มแห้ง แตกต่างจากวันแรกที่เริ่มใช้ ซึ่งผิวจะยังคงมีความชุ่มชื้นและใสพอเหมาะ
ตอนแต่งหน้า ก็รู้สึกผิวหน้าดูจะแห้ง ๆ ไม่ชุ่มชื้นเท่าที่ควร
ทั้งที่เราก็ทาน้ำมันงาบำรุงอยู่
-----------------------------------------------------------
บีมก็เลยลองปรับการใช้ดังนี้
เมื่อวานนี้บีมแต่งหน้าเบา ๆ ตามสิ่งที่เขียนไปแล้วนะคะ
จังหวะหาน้ำมันงาขาวไม่เจอ
เลยเอา RJK สูตรน้ำมันมาเขย่า ฉีดบนสำลีชุ่มพอประมาณ แล้วเช็ดหน้า
จากนั้นล้างหน้าด้วยสบู่มะพร้าวประกบกับสบู่สับปะรด
จากนั้น ก็เช็ดด้วยน้ำเกลือ Klean & Kare เพราะมันจะช่วยปรับผิวให้ชุ่มชื้น
แล้วทาเซรั่มของลูมิเนสให้ทั่วหน้า และมาส์กลูมิเนสทิ้งไว้เลย
มาลอกออกตอนเช้า
ล้างหน้าด้วย Smooth E สูตรสำหรับผิวบอบบางสุด ๆ
สีบรรจุภัณฑ์ออกเขียวอ่อนค่ะ เนื้อเจลสีใส ๆ ไม่มีกลิ่น
จากนั้นเช็ดด้วยน้ำเกลือ
แล้วพักหน้าไปเลย ไม่ทาอะไรต่อ (วันนี้แหละค่ะ)
เพราะจากที่ได้ข้อมูลมาเรื่องการสร้างผิวใหม่และซ่อมแซมผิว
จะเกิดตอนกลางคืนและตอนนอน
เลยคิดว่า เซรั่มลูมิเนส ใช้กระตุ้นการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ใหม่
ตอนกลางคืนดีกว่า...ตอนเช้าบำรุงก็พอแล้ว (แต่วันนี้ไม่ทาอะไรเลย)
ซึ่งผิวโอเคมาก
ไม่แห้งแล้ว
-----------------------------------------------------------
ซึ่งเป็นแบบนี้ทุกครั้ง
เวลาที่บีมใช้ของจากธรรมชาติแบบ 90% ขึ้นไป
แต่ครั้งนี้ดีกว่าทุก ๆ ครั้ง
เพราะผิวบีมแข็งแรงขึ้นมากแล้วค่ะ
แต่ก็ไม่วาย แห้งเพราะใช้สบู่อยู่ดี...
มันทำให้บีมเรียนรู้ว่า
1. ธรรมชาติไม่ใช่ว่ามันไม่ดีค่ะ แต่มันอาจจะไม่เพียงพอสำหรับการฟื้นฟูและบำรุงผิวของบีม
2. เครื่องสำอางที่เราใช้ แม้มันอาจจะมีขั้นตอนซับซ้อนและมีเบสที่อาจจะเป็นสารเคมี แต่ถ้ามันไม่ใช่เคมีอันตราย และถ้าเราไม่ได้ใช้เยอะเกินไป คือ วันหนึ่ง 2 ครั้ง และผิวเราสมดุล ก็อยู่ในจุดที่รับได้
3. สำหรับบีม หลายครั้งที่ทดลองใช้น้ำมันมะพร้าว น้ำมันงา ทาผิว ซึ่งในผิวคนอื่น เขาอาจจะได้ผลเรื่องความชุ่มชื้น แต่สำหรับบีม บีมพบว่า การทาน้ำมันทาผิว ตอนทาและมีน้ำมันอยู่ ผิวจะดูชุ่มชื้น แต่บีมพบว่า ความชุ่มชื้นในผิวบีมจะได้รับไม่เท่ากับการทาครีมบำรุงที่เหมาะกับผิวของบีม เพราะตอนล้างทำความสะอาด ผิวจะแห้ง เหมือนขาดน้ำในผิว
4. บีมเรียนรู้ว่า สุดท้าย อยู่ที่ผิวของแต่ละคน และอยู่ที่การ DIY หรือ การหาสูตรที่เหมาะกับตัวเองค่ะ จะใช้ผสมกันก็ได้ระหว่างธรรมชาติกับไม่ใช่ธรรมชาติ ซึ่งอยู่ที่ความชอบ รสนิยมของแต่ละคน แต่สำหรับบีม บีมสามารถใช้ผสมผสานกันได้หมด แต่บีมจะเลือกใช้ของทาผิวให้น้อยที่สุด เพื่อลดการรบกวนผิว เป็นแนว Minimalist ค่ะ บีมไม่ชอบขั้นตอนเยอะ ๆ ชอบหน้าสดที่สุขภาพดี แต่งหน้าแล้วดูเนียน ผิวอิ่มน้ำ
บีมรายงานผลการทดลองและสรุปบทเรียนให้ตามนี้นะคะ
ไม่มีอะไรถูก
ไม่มีอะไรผิด
มีแต่ "อะไรเหมาะ" กับเราที่สุด
ตราบเท่าที่ครีมนั้นไม่ผสมสารพิษและเคมีอันตรายค่ะ
ต้องรู้จักสังเกตผิวตัวเองต่อการตอบสนองต่อสิ่งที่ใช้และพฤติกรรมประจำวันเสมอ ๆ
ซึ่งระดับการรับได้ของสารเคมีและความอันตรายของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน
บางคน พาราเบน ก็ห้ามมี
บางคน พาราเบน มีได้ แต่ห้ามมีสเตียรอยด์ ปรอท เป็นต้น
เอาที่เราพอใจค่ะ
เอา common sense เป็นหลัก
#บีมสิวซีเคร็ต
สิ่งที่เพื่อน ๆ ต้องเข้าใจก่อนคือ
1. บีมเขียนในมุมผู้ใช้สินค้า ไม่ใช่มุมคนทำธุรกิจ
2. บีมเขียนในมุมคนคนหนึ่งที่อยากแก้ปัญหาที่ตัวเองสงสัย
3. เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่อยากให้ไปคิดต่อกันอีกทีและปรับให้เหมาะสมกับตัวเองค่ะ เพราะมันอาจไม่ใช่กับทุกคน
เพื่อน ๆ จำได้ใช่ไหมคะว่า...สามวันก่อนบีมเกิดความรู้สึกไม่อยากใช้ของที่ไม่ใช่ธรรมชาติหรือไม่ใกล้เคียงธรรมชาติเลย
แล้วบีมก็ไปเอาของที่ไม่ได้ใช้มาสักพักแล้วกลับมาใช้ คือ
1. น้ำมันงาขาวแบบสกัดเย็น เอามาแทน RJK ตัว Cleansing สูตรน้ำมัน
2. สบู่มะพร้าวผสมสบู่สับปะรดของ Maclear เอามาแทนเจลล้างหน้ามะเฟืองน้ำผึ้งที่พึ่งซื้อมา ของสวนปานะ
3. พอดีอยู่บ้าน เลยไม่ทากันแดด
4. ถ้าแต่งหน้า ก็ทาครีมกันแดดของภัทรพัฒน์ เพราะมันจะมีเบสอยู่ แล้วลงด้วยแป้งฝุ่นศรีจันทร์ แล้วลงแป้งพัฟทานาคา จบ.
*** เช้า ***
สบู่มะพร้าวผสมสับปะรดล้างหน้า เสร็จแล้วปล่อยผิวยาวเลยตลอดวัน เพราะบีมทำงานอยู่บ้านไม่ได้ไปไหนค่ะ
*** ก่อนนอน ***
ล้างหน้าด้วยสบู่ 2 ก้อนนั้นเลย ทาน้ำมันงาขาว แล้วนอนไปเลย
แต่ถ้าวันไหนแต่งหน้า (ซึ่งก็พึ่งไม่กี่วันนี่เองค่ะ ไม่ถึง 5 วันนะคะ ที่เริ่มทำ) ก็จะใช้น้ำมันงาขาวแทน Cleansing เช็ดเครื่องสำอางออกไปแทน
-----------------------------------------------------------
ผลการทดลองของบีม
วันที่ 3 ที่ใช้สบู่และไม่ทาบำรุงอะไรเลย ยกเว้นการใช้น้ำมันงาบำรุง บีมพบว่าผิวหน้าเริ่มแห้ง แตกต่างจากวันแรกที่เริ่มใช้ ซึ่งผิวจะยังคงมีความชุ่มชื้นและใสพอเหมาะ
ตอนแต่งหน้า ก็รู้สึกผิวหน้าดูจะแห้ง ๆ ไม่ชุ่มชื้นเท่าที่ควร
ทั้งที่เราก็ทาน้ำมันงาบำรุงอยู่
-----------------------------------------------------------
บีมก็เลยลองปรับการใช้ดังนี้
เมื่อวานนี้บีมแต่งหน้าเบา ๆ ตามสิ่งที่เขียนไปแล้วนะคะ
จังหวะหาน้ำมันงาขาวไม่เจอ
เลยเอา RJK สูตรน้ำมันมาเขย่า ฉีดบนสำลีชุ่มพอประมาณ แล้วเช็ดหน้า
จากนั้นล้างหน้าด้วยสบู่มะพร้าวประกบกับสบู่สับปะรด
จากนั้น ก็เช็ดด้วยน้ำเกลือ Klean & Kare เพราะมันจะช่วยปรับผิวให้ชุ่มชื้น
แล้วทาเซรั่มของลูมิเนสให้ทั่วหน้า และมาส์กลูมิเนสทิ้งไว้เลย
มาลอกออกตอนเช้า
ล้างหน้าด้วย Smooth E สูตรสำหรับผิวบอบบางสุด ๆ
สีบรรจุภัณฑ์ออกเขียวอ่อนค่ะ เนื้อเจลสีใส ๆ ไม่มีกลิ่น
จากนั้นเช็ดด้วยน้ำเกลือ
แล้วพักหน้าไปเลย ไม่ทาอะไรต่อ (วันนี้แหละค่ะ)
เพราะจากที่ได้ข้อมูลมาเรื่องการสร้างผิวใหม่และซ่อมแซมผิว
จะเกิดตอนกลางคืนและตอนนอน
เลยคิดว่า เซรั่มลูมิเนส ใช้กระตุ้นการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ใหม่
ตอนกลางคืนดีกว่า...ตอนเช้าบำรุงก็พอแล้ว (แต่วันนี้ไม่ทาอะไรเลย)
ซึ่งผิวโอเคมาก
ไม่แห้งแล้ว
-----------------------------------------------------------
ซึ่งเป็นแบบนี้ทุกครั้ง
เวลาที่บีมใช้ของจากธรรมชาติแบบ 90% ขึ้นไป
แต่ครั้งนี้ดีกว่าทุก ๆ ครั้ง
เพราะผิวบีมแข็งแรงขึ้นมากแล้วค่ะ
แต่ก็ไม่วาย แห้งเพราะใช้สบู่อยู่ดี...
มันทำให้บีมเรียนรู้ว่า
1. ธรรมชาติไม่ใช่ว่ามันไม่ดีค่ะ แต่มันอาจจะไม่เพียงพอสำหรับการฟื้นฟูและบำรุงผิวของบีม
2. เครื่องสำอางที่เราใช้ แม้มันอาจจะมีขั้นตอนซับซ้อนและมีเบสที่อาจจะเป็นสารเคมี แต่ถ้ามันไม่ใช่เคมีอันตราย และถ้าเราไม่ได้ใช้เยอะเกินไป คือ วันหนึ่ง 2 ครั้ง และผิวเราสมดุล ก็อยู่ในจุดที่รับได้
3. สำหรับบีม หลายครั้งที่ทดลองใช้น้ำมันมะพร้าว น้ำมันงา ทาผิว ซึ่งในผิวคนอื่น เขาอาจจะได้ผลเรื่องความชุ่มชื้น แต่สำหรับบีม บีมพบว่า การทาน้ำมันทาผิว ตอนทาและมีน้ำมันอยู่ ผิวจะดูชุ่มชื้น แต่บีมพบว่า ความชุ่มชื้นในผิวบีมจะได้รับไม่เท่ากับการทาครีมบำรุงที่เหมาะกับผิวของบีม เพราะตอนล้างทำความสะอาด ผิวจะแห้ง เหมือนขาดน้ำในผิว
4. บีมเรียนรู้ว่า สุดท้าย อยู่ที่ผิวของแต่ละคน และอยู่ที่การ DIY หรือ การหาสูตรที่เหมาะกับตัวเองค่ะ จะใช้ผสมกันก็ได้ระหว่างธรรมชาติกับไม่ใช่ธรรมชาติ ซึ่งอยู่ที่ความชอบ รสนิยมของแต่ละคน แต่สำหรับบีม บีมสามารถใช้ผสมผสานกันได้หมด แต่บีมจะเลือกใช้ของทาผิวให้น้อยที่สุด เพื่อลดการรบกวนผิว เป็นแนว Minimalist ค่ะ บีมไม่ชอบขั้นตอนเยอะ ๆ ชอบหน้าสดที่สุขภาพดี แต่งหน้าแล้วดูเนียน ผิวอิ่มน้ำ
บีมรายงานผลการทดลองและสรุปบทเรียนให้ตามนี้นะคะ
ไม่มีอะไรถูก
ไม่มีอะไรผิด
มีแต่ "อะไรเหมาะ" กับเราที่สุด
ตราบเท่าที่ครีมนั้นไม่ผสมสารพิษและเคมีอันตรายค่ะ
ต้องรู้จักสังเกตผิวตัวเองต่อการตอบสนองต่อสิ่งที่ใช้และพฤติกรรมประจำวันเสมอ ๆ
ซึ่งระดับการรับได้ของสารเคมีและความอันตรายของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน
บางคน พาราเบน ก็ห้ามมี
บางคน พาราเบน มีได้ แต่ห้ามมีสเตียรอยด์ ปรอท เป็นต้น
เอาที่เราพอใจค่ะ
เอา common sense เป็นหลัก
#บีมสิวซีเคร็ต
ความคิดเห็น