กรรม สิว ผิว พลังชีวิต .... การรักษาในระดับจิตวิญญาณ

วันนี้วันหยุดพักผ่อนในฐานะแม่ค้า...

ชิว ๆ กับครอบครัวแล้วก็นั่งเพลิน ๆ อยู่ดี ๆ ก็มีความคิดแว่บมาว่าจะเขียนเรื่องนี้วันนี้

อ้อ...ก่อนอื่นค่ะ บีมพึ่งได้รับฟังเรื่องราวจากเพื่อนสมัยมัธยมมา เราห่างกันนาน มาเจอกันในเฟซบุ๊คไม่กี่ปีนี้เอง แต่ด้วยความที่เ่ราเคยมีประวัติทำงานด้วยกัน ด้วยสมัยก่อนบีมพอจะเล่นกีต้าร์ได้แบบงู ๆ ปลา ๆ เขาก็ชวนเข้าวงดนตรีค่ะ เล่นตอน ม.ต้นค่ะ เขาเก่งดนตรีมาก ๆ ตอนนี้ก็ทำงานเกี่ยวกับดนตรีหมดเลย ทั้งสอน ทั้งเล่นตามผับ

มารู้ตอนหลังว่าเธอเรียนและจบโทด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เน้อเจ้า...

และยิ่งคุย ยิ่งได้รู้ว่าเธอนั้นไม่ธรรมดาค่ะ...

บีมว่าเธอมีญาณอะไรหยั่งรู้...มีอะไรพิเศษกว่าชาวบ้านเขาแน่นอนเลย...แต่บีมไม่ได้ถามนะ

แต่ล่าสุดนี้...จากเรื่องที่เธอเล่าให้ฟัง...บีมแ่จ่มแจ้งประเด็นนึงเลยว่า "สิวนี่สามารถเป็นสัญญาณเตือนหนึ่งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองเราอยู่ได้ด้วยนะ"

เรื่องที่เธอเล่าคือ คนคนหนึ่งเป็นคนดีนะคะ แต่ไปเจอเจ้ากรรมนายเวรเข้าและเขามีเจ้าของ...

แต่ด้วยอะไรก็ไม่รู้ล่ะ (พลังที่มองไม่เห็น) ทำให้ตัดกันไม่ขาด แม้คนคนนี้จะพยายามเลิกรากันไป...และทำให้สิวที่ขึ้นมาตอนทำผิดศีลนั้นยุบลงไปทันตา (แห้งเลย ที่จะขึ้นก็ไม่ขึ้น)

คือ ถ้าจิตเป็นอกุศลเผลอไผลไป...สิวมา
ถ้าจิตเป็นกุศล เอาชนะใจตัวเองไม่ยุ่งกับเขาได้...สิวหายไป...

โอ้ว...นี่เป็นครั้งแรกที่บีมได้ยินเรื่องจริงผ่านจอแบบนี้เลยทีเดียวค่ะ...

ย้ำอีกครั้ง...นี่เรื่องจริง...เพราะคนที่โดนนั้นบีมก็รู้จัก...

ก็เลยจะยกมาเป็นอุทาหรณ์น้อย ๆ เผื่อว่าจะให้เพื่อน ๆ ได้ฉุกคิดนิดนึงว่า...ทำมาหลายวิธี สุดโต่งแล้วก็ไม่หาย อะไร ๆ ก็ไม่หาย...เพื่อน ๆ มีการทำอะไรผิดบาปตกค้างในใจอยู่หรือไม่คะ

ตรวจสอบกับศีล 5 ก่อน (สำหรับชาวพุทธ) ส่วนศาสนาอื่นก็ตามนั้นค่ะ....

บางคนอาจเคยทำให้พ่อแม่เสียใจ....แต่ยังไม่เคยขอขมา
บางคนอาจเคยไปแย่งแฟนคนอื่นจนเขาทุกข์และอาฆาต....แต่ไม่เคยขอโทษ (ถ้าเขามีชีวิตอยู่)
ฯลฯ

คนเราเกิดมาหลายภพหลายชาติค่ะ แค่ชีวิตนี้ทำผิดมาตั้งกี่กระทงแล้ว...อย่าได้นับอดีตชาติเลย ดังนั้น เจ้ากรรมนายเวรเพียบ...

ดังนั้นคือ....ไม่มีอะไรดีไปกว่าการตั้งใจเว้นชั่ว ทำดี และหมั่นรักษาใจให้บริสุทธิ์เสมอ

รักษาศีลให้บริสุทธิ์ทุกครั้งที่นึกได้ (สมาทานศีีลก่อนนอนยังได้เลยค่ะ เพราะตอนนอนเราไม่ผิดศีลแน่ ๆ ยกเว้น นอนอยู่กับสามีหรือภรรยาชาวบ้าน)

และทุกครั้งที่ทำดี ไม่ต้องไปวัดหรอกค่ะ แค่ได้เอาผลไม้ดี ๆ ไปให้เจ้านายที่นั่งหน้าเครียดอยู่แล้วเขาขอบคุณเราจากใจจริง...ถ้าเราสุข ณ ตอนนั้น ก็เผื่อแผ่ความสุขไปให้เจ้ากรรมนายเวรหรือเทวดารักษาตัวเราได้ทันที...

ถ้ากลัวไม่ถึง กลับบ้านมามาจุดธูปกรวดน้ำอีกรอบ ระลึกถึงบุญทั้งหมดในวันนั้น ขอพระรัตนตรัยเป็นประธาน เบิกบุญมา เมื่อเราระลึกถึงสิ่งดีงามที่ทำแล้วสุขใจปุ๊บ ส่งบุญทันทีค่ะ

การแผ่บุญนี่เหมือนจุดเทียนค่ะ ยิ่งให้ยิ่งสว่าง และของเราไม่ดับชัวร์...

อ่ะ....จบ ณ จุดนี้ มีหนังสือให้อ่านเยอะค่ะเรื่องนี้...ลองหาอ่านหรือดู Youtube ก็ได้ค่ะ

มาเข้าเรื่องที่บีมคิดจะเขียน....

วันนี้นึกได้ตอนกำลังอาบน้ำ (ดีนะที่วันนี้ไม่ทำงาน ไม่งั้นคงลืมแน่นอนว่าจะเขียนอะไร เพราะตอนอาบน้ำมันจดไม่ได้) ปิ๊งเรื่องของ "พลังชีวิต" ว่ามันเกี่ยวกับสิวและสุขภาพยังไง

จริง ๆ แล้วบีมเป็นคนไม่เข้าใจเรื่องพลังชีีวิตลึกซึ้งค่ะ เลยไม่ค่อยได้ศึกษา แต่พอปิ๊งเรื่องนี้ขึ้นมาก็เห็นความสำคัญของมันละ

เคยได้ยิน "ชี่" มั้ยคะ ที่เวลาเขารำมวยจีน ฝึกชี่่กงอะไรแบบนี้ นั่นล่ะค่ะ เขาฝึกเรื่องการรักษาสมดุลพลังชีวิต

คนที่เล่นคอมเยอะ อยู่กับเครื่องใช้ไฟฟ้าเยอะ บีมคลับคล้ายคลับคลาเคยได้้ข้อมูลจากคุณปลา (ขอถือว่าเธอเป็นเพื่อนที่ช่วยป้อนข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับธรรมชาติบำบัดเยอะมากค่ะ เครดิตเลย) ว่าคนกลุ่มนี้ (ส่วนใหญ่คือคนทำงานออฟฟิต) จะสูญเสียพลังสนามแม่เหล็กในตัว ซึ่งบีมก็เ้ข้าใจไปถึงว่าจะเสียพลังชีวิตไปด้วย...

ขอออกตัวก่อนว่าบีมยังไม่ได้หาข้อมูลเรื่องนี้จริง ๆ จัง ๆ เลยสุ่มเดาด้วยฐานความรู้ชุดเดิมไปก่อน ยังไม่ยืนยันว่าสิ่งที่เขียนนั้นถูกต้อง โปรดใ้ช้วิจารณญาณค่ะ

เอาเป็นว่า...ด้วยวิถีชีวิตของคนยุคนี้นั้นทำให้สูญเสียพลังชีวิตไปเยอะค่ะ

ความแตกต่างของคนที่มีพลังชีวิตเยอะกับน้อยมีดังนี้ค่ะ

พลังชีวิตเยอะ - มีความจำดี มีพลังริเริ่มสิ่งต่าง ๆ รักตัวเองและมอบความรักและความสุขให้คนอื่นเป็น กลุ่มนี้ยกตัวอย่างเช่น คุณแม่ศันสนีย์ ท่าน ว.วชิรเมธี คุณวิกรม กรมดิษฐ์ คุณตัน โออิชิ คุณโน้ส อุดม และคุณพาที สารสิน (CEO นกแอร์ ถ้าจำไม่ผิด) คุณปัญญา เป็นต้นค่ะ คือเป็นกลุ่มคนที่มีพลังงานบวกในตัวเองสูง

พลังชีวิตน้อย - ความจำไม่ค่อยดี ไม่ค่อยรู้คุณค่าของตัวเอง ขี้เกียจทำสิ่งต่าง ๆ เพลียเรื้อรัง หมดอาลัยตายอยาก ฯลฯ กลุ่มนี้ไม่ขอยกตัวอย่างค่ะ คงจะพิจารณากันได้เอง คือ เป็นกลุ่มคนที่มีพลังงานลบในตัวเองสูง

คราวนี้ เมื่อจิตมันแตกต่าง...ด้วยตรรกะ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว (สัจธรรม) มันจะส่งผลถึงชีวเคมีหรือปฏิกิริยาต่าง ๆ ในร่างกายนี้อันอยู่ในการควบคุมของจิตอีกทีค่ะ

คนที่มีพลังชีวิตเยอะนั้น จิตเขาจะรู้สึกว่า อยากมีชีวิตอยู่เพื่อทำสิ่งดี มีแรงจูงใจให้ก่อสิ่งดี ๆ อยากทำงาน คือ เมื่อจิตรู้สึกว่า "อยากอยู่" (จริง ๆ เขาอาจไม่ได้อยากค่ะ คือ ในกลุ่มผู้ที่บรรลุธรรมขั้นสูง ๆ แล้วจะไม่อยากมีอยากเป็นแล้วค่ะ แต่ว่าพวกเขายังเป็นกลุ่มมีพลังชีวิตเยอะอยู่ เพราะ จิตสว่าง มีเมตตา และพร้อมให้้ค่ะ) คนในกลุ่มนี้นั้น เซลล์ร่างกายก็จะพยายามสู้เพื่อที่จะอยู่ เซลล์จะสดใสเริงรื่น ยินดีปรีดากับแต่ละวินาทีของชีวิต

ดังนั้น เมื่อเขาอยากอยู่ เขาก็อยากผลิตเซลล์ให้มากขึ้น เขาอยากแข็งแรง เขาก็จะต่อสู้เชื้อโรคได้มากขึ้น เขาไม่อยากตาย คำนิยามของร่างกายของคนในกลุ่มนี้คือ สด ใหม่ แข็งแรง รวดเร็ว คล่องแคล่ว ว่องไว

จึงไม่แปลกว่าทำไมคนที่เป็นโรคร้ายแรงเช่น มะเร็ง ถ้ามีแรงใจที่ดี ต่อให้ใ้ช้ยาจนหมดหนทางแล้ว แต่ถ้าใจมันยังอยากอยู่ มันก็จะสู้ มันก็จะผลิตพลังใหม่ ๆ เซลล์ที่ดีใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ทุกครั้งที่เขามีพลังใจ...

ยกตัวอย่างใกล้ตัวค่ะ คุณยายของบีมเป็นมะเร็งปากมดลูกตั้งแต่บีมเกิด คือ พ.ศ. 2526 จริง ๆ แล้วท่านอาจต้องเสียชีวิตไป ณ ตอนนั้นแล้ว...แต่คุณแม่เล่าว่า...คุณยายบอกว่า ยังตายไม่ไ้ด้ ต้องอยู่เพื่อหลาน....จากวันนั้นถึงวันสุดท้ายในชีวิตของคุณยายคือ 5 ตุลาคม 2552 คุณยายต้องทนอยู่กับอาการข้างเคียงต่าง ๆ หลังการรักษา และยังตรวจพบเชื้ออยู่เรื่อย ๆ แต่ไม่รุนแรง (เพราะท่านหัวเก่าด้วยค่ะ ไม่ได้ดูแลสุขภาพองค์รวมแบบเรา) นับเป็นเวลาทั้งหมดประมาณ 26 ปีที่สู้มาได้...ตอนนี้คุณยายท่านมาเกิดเป็นน้องมดส้มแล้วค่ะ (ความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ)

ในทางตรงข้ามนะคะ คนที่รู้สึกว่าชีวิตนี้ทุกข์เหลือเกิน ไม่อยากอยู่แล้ว...คือ อยู่ไปแบบแกน ๆ อยากตายก็ตายไม่ได้ แต่อยู่ก็ไม่ได้สุขนัก จิตลักษณะนี้จะพาให้ปฏิกิริยาในร่างกายแปรปรวนไปด้วยค่ะ

คือ ตอนอารมณ์บวก ๆ .... ทุกกระบวนการในร่างกายก็จะดูดีทีเดียว คือ เหมือนคนที่มีพลังชีวิตเลย

แต่พออารมณ์ลบ ๆ มา....คราวนี้ล่ะ ร่างกายเริ่มเกิดอาการอยาก shut down ไปโดดตึกเสียให้ตาย...คือ ระดับความดราม่าจะมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของจิตใจและสภาพปัญหาที่มากระทบและตัวสติที่มี

ตอนที่พลังชีวิตมันเหลือน้อย ๆ นี้ เหมือนกับตอนที่เราจะตายน่ะค่ะ คือ เซลล์ของเราเขารู้สึกว่าเราไม่ได้ต้องการเขาแล้ว...เขาก็จะเริ่มมีกิจกรรมน้อยลงละ ไม่ค่อยอยากอาหาร ไม่ค่อยอยากดูดซึมอะไรเข้าร่างกาย ไม่อยากสร้างเซลล์ใหม่ คือ ลักษณะเหมือนคนที่ไม่ค่อยมีใครต้องการ เขาก็มักจะเก็บตัวเงียบ ๆ ในห้องไงคะ ให้มันเหี่ยวแห้งกันไปข้างหนึ่ง

คราวนี้ก็มาเกี่ยวกับผิวด้วยแล้ว...คือ แผลก็หายยาก เพราะว่าภูมิคุ้มกันมันขี้เกี่ยจสู้ละ จะสู้ทำไมในเมื่อเจ้านาย (จิต) เขาไม่ได้ต้องการให้ร่างกายนี้อยู่แล้ว...รอยแผลเป็นก็หายยาก ผลัดเซลล์ก็ช้า (เพราะจะสร้างมาใหม่ทำไม เขาไม่ได้ต้องการแล้วนี่)

ยิ่งถ้าป่วยระยะสุดท้ายแล้วอยากตายไว ๆ ก็อาจได้ไปสมใจในเร็ววันค่ะ...

คำตอบของสุขภาพดีมันอยู่ที่จิตทั้งนั้นเลยค่ะ...

และคนเราเป็นโรคก็เพราะกิเลสทั้งนั้น...ลดกิเลส มันก็ลดโรคได้

.....แต่ก็อีกนะคะ หลายคนที่เป็นสิว ก็แอบมาตัดพ้อกับบีมอยู่เสมอ ๆ ว่า...ทำไมเพื่อนที่นั่งวงเหล้าเดียวกัน มันไม่เห็นมีสิวสักเม็ด...

บีมจะบอกว่า...ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขาค่ะ เราถามคำถามนี้ไป ใ่ช่ว่าสิวบนหน้าจะลดลง....

ก็กรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกันนี่คะ...จะให้ทุกคนเหมือนกันหมดได้อย่างไร...

ทุกคนมีความทุกข์หมดล่ะค่ะ เพื่อนหน้าเด้งเขาก็ทุกข์เหมือนกันว่า ถ้าวันไหนไม่เด้ง แฟนจะรักมั้ย... ดาราหน้าเด้ง ก็ทุกข์ในแบบของเขา...ถ้าวันหนึ่งเราไม่เด้ง แล้วจะมีงานไหม...เด้งไม่เท่าคนอื่นหรือเด้งน้อยกว่าคนอื่น ก็งานไม่เข้าอีก...ก็ต้องเสียเงินไปทำนู่นนี่นั่น...แล้วก็มาแข่งกันสวยอีก จะไปงานไหนทีก็ต้องเริ่ด...

มันก็ทุกข์หมดค่ะ...ใช่ว่าเราเป็นสิวจะทุกข์อยู่คนเดียว...

บีมแนะนำว่า ถ้าทุกข์มาก ๆ ลองไปทำบุญโดยการนวดเด็กอ่อนดูสิคะ เด็กกำพร้าที่พ่อแม่เขาทอดทิ้งน่ะค่ะ คือเป็นอาสาสมัคร บีมเคยไปดูเพราะเพื่อนเขาอุปถัมภ์เด็กที่นั่น แล้วเขาพาทัวร์ค่ะ บีมว่าเป็นกิจกรรมที่ดีมากนะ ทำบุญกับชีวิตหนึ่งให้เขาวางใจโลกภายนอกนั้นใช่เรื่องง่ายเลย...และใช่ว่าครั้งเดียวจะดีขึ้นเลย...และเป็นกิจกรรมที่เราจะได้รู้จักสร้างและส่งผ่านความรักไปยังเด็กค่ะ เราจะเลิกคิดถึงสิวบนหน้าไปเลย ณ ขณะที่เรานวดให้เด็ก สร้างและส่งความรักไปยังเด็กคนนั้น ยิ่งมองเข้าไปในแววตาของพวกเขา จะยิ่งเห็นความทุกข์ ...

และที่สำคัญ เด็กเขาไม่สนใจสิวบนหน้าคุณแน่นอน...

บีมจะเล่าให้ฟังค่ะว่า .... ในแต่ละวัน บีมงานค่อนข้างยุ่ง ทั้งดูแลมดส้ม (ลูกสาว 7 เดือน) ทั้งแพ็คของ รับสายลูกค้า ตอบอีเมล ฯลฯ แทบไม่มีเวลาได้แต่งตัวและแต่งหน้าเลย (ทั้งที่ขายของประเภททำให้สวยงาม) บางวันใส่ชุดนอนทั้งวันเลยนะ

บางวันหน้าแอบโทรม ตาโหล เพราะกลางคืนนอนไม่พอ คุณพี่กรนบ้างไรบ้างตามประสาผู้ชาย มดส้มตื่นตี 4 บ้างอะไรอย่างนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ค่ะ

แต่มดส้มไม่เคยสนใจเลยว่า แม่จะสิวขึ้น หน้าโทรม ผมไม่ได้สระ ฟันไม่่ได้แปรง น้ำไม่ได้อาบ ใส่ชุดนอนทั้งวัน ฯลฯ

แต่เขากลับเรียกร้องหาความรักและความอบอุ่นจากเรา...ไม่สนใจอะไรข้างต้นนั้นสักนิดเดียว...

และ ณ วินาทีที่เราเข้าไปกอดเขา พูดคุยกับเขา เล่นกับเขาให้เขายิ้มและสุขได้นั้น...มันจะสุขแบบลืมไปเลยว่าตัวเองนั้นโทรมขั้นสุด...รู้สึกมีคุณค่า รู้สึกอยากมีชีวิตอยู่เพื่อเขา เพื่อคนอื่น...และรู้สึกความรักที่เบ่งบานในตัวเอง...

ใครเป็นสิว บีมแนะนำเลยค่ะ ไปนวดเด็กอ่อนที่เขากำพร้า...ไปเป็นประจำ ไปช่วยให้เขาคลายแววตาจากทุกข์และหวาดระแวงโลกนี้ไปเป็นสุข...อย่าไป ๆ หาย ๆ เพราะนั่นจะทำให้เขายิ่งทุกข์ค่ะ

เด็กอ่อนนั้นประตูทางจิตยังไม่ปิดสนิท ถ้าคุณไปครั้งแรก เขาจะจำจิตของคุณที่มาสัมผัส...เขาจะจำนะแต่ยังพูดไม่ได้...ถ้าคุณหายไป เขาอาจร้องหาได้โดยไม่มีสาเหตุนะคะ...ดังนั้น ก่อนไป ขอให้คิดดี ๆ ก่อนว่าเราจะไปทำสิ่งนี้เพื่อให้ความรักแก่น้อง ๆ จนเขาสุขจริง ๆ ห้ามไปด้วยจิตที่คิดว่า ฉันจะไปเพื่อให้สิวฉันหาย...แม้จะไปทำกิจกรรมเดียวกัน แต่จิตที่คิดต่างกัน จะทำให้ได้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกันค่ะ

ทำสิ่งนั้นเพื่อให้จบในสิ่งนั้น อย่าทำสิ่งหนึ่งเพื่อหวังให้ได้สิ่งอื่นค่ะ...

เด็กอ่อนจะืทำให้คุณเติบโตทางจิตวิญญาณ...รู้จักความรักและคุณค่าในตัวคุณเอง...

เมื่อใดที่ท้อแท้...กับเรื่องสิว...โปรดนึกถึงประสบการณ์ความรักที่คุณได้ให้กับเขา และการที่เขาค่อย ๆ สนองตอบกลับมา...และขอให้นึกว่าแม้คนบนโลกนี้ทั้งหมดจะมองมาที่สิวของคุณ แต่ถ้ามีเพียง 1 คนที่เขาไม่สนใจสิวของคุณ แต่เขาสนใจความรักและความอบอุ่นจากคุณ....เท่านี้้ก็เพียงพอแล้วค่ะ

หมั่นสะสมประสบการณ์ที่ดีงามให้ีชีวิตค่ะ เพราะสิ่งนี้จะทำให้อารมณ์ของคุณมั่นคงขึ้น คุณจะเริ่มมีพลังชีิวิตที่มั่นคงถาวร...ไม่แปรปรวน (คนอารมณ์แปรปรวนมีปัญหาสุขภาพมากใช่มั้ยล่ะคะ) ไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ

ผลลัพธ์ที่ได้นั้น...มากกว่าสุขภาพที่ดีและสิวที่ดีขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ

อนุโมทนาล่วงหน้าค่ะ....

ความคิดเห็น