โหราศาสตร์ปฏิวัติกรรม แนวคิดใหม่ที่เราไม่ใช่เหยื่อของโชคชะตา




หลายคนคงจะงงว่า เขียนเรื่องสิวมาเกี่ยวอะไรกับตรงนี้

บีมขออธิบายว่า ตั้งแต่รักษาสิวด้วยตัวเองมา บีมมองเห็นว่าตัวเองเชื่อมโยงกับสรรพสิ่งมากขึ้น บีมเป็นส่วนหนึ่งของทุกอย่างที่เกิดบนโลกนี้ ธรรมชาติทำให้เราหายได้จริงถ้าเราใช้ชีวิตและปรับสภาพร่างกายอันเป็นธาตุขันธ์ให้สอดคล้องกับธรรมชาติทั้งของเราและธรรมชาติรอบตัว

จากเรื่องทางกาย มาสู่เรื่องจิตที่บีมพิสูจน์และได้รับการพิสูจน์จากเพื่อน ๆ ที่ได้ทดลองปฏิบัติหลาย ๆ คนแล้วว่า การนอนเร็ว การไม่เครียด และการทำใจให้นิ่ง ไม่ร้อนรน ไม่รีบเร่งเวลารักษาสิวนั้น ได้ผลจริง ๆ

ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งศึกษา ก็ยิ่งพบว่า จิตนั้นสำคัญที่สุดไม่ว่าจะรักษาโรคอะไรก็ตาม

และโดยปกติเป็นคนสนใจเรื่องราวและคำถามเกี่ยวกับชีวิตอยู่แล้วค่ะ ชอบหาคำตอบว่าเราเกิดมาทำไม ทำไมต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ คำถามนี้มีตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ เพราะเป็นคนที่มีปัญหามาตลอดนะ (แต่ยังโชคดีที่ครองตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัยมาได้ถึงตอนนี้ บุญยังมี)

เอาล่ะ...ต่อจากตอนที่แล้วนะคะ และหลังจากที่บีมได้ลองอ่านดวงของลูกสาวเพิ่มเติมโดยอิงตามหนังสือของคุณมณฑานีเล่มนี้ บีมรู้สึกว่า มันใช่เลย...อธิบายได้ทุกอย่างที่บีมต้องการ

คือ บีมไม่ลบหลู่ศาสตร์ดูดวงแบบอื่นนะคะ แต่เราจะชี้ว่า การดูแบบนี้มันให้แนวคิดใหม่ของการเปิดปูมชีวิต ตอบคำถามชีวิตและทำให้เรารู้สึกด้านบวกได้มากกว่าที่ผ่านมา

บีมจะสรุปแนวคิดให้ฟังนะคะ และเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น บีมจะยกตัวอย่างดวงบีมให้ดูนะคะ

โหราศาสตร์ปฏิวัติกรรม หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Karmic Astrology เป็นการดูดวงที่อิงกับแนวความคิดเรื่องกรรม ซึ่งจะสอดคล้องกับหลักพุทธศาสนามากค่ะ

หลักนี้ ใคร ๆ ก็สามารถดูเองได้ค่ะ ไม่ต้องมีอะไรซับซ้อนเลย แต่คนที่จะดูด้วยตัวเองได้นั้น ต้องมีพื้นฐานความเข้าใจเรื่องของ กรรม การกลับชาติมาเกิด ความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง (ดวงดาวและการโคจรของดวงดาวส่งผลต่อเราในฐานะที่เราเป็นกล่องพลังงานเล็ก ๆ บนโลก ไม่ใช่ธาตุสังขารแบบที่เรายึดติด)

แต่คุณโจได้อธิบายว่า แม้คนไม่เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด ก็สามารถดูได้นะคะ เพราะ จากปูมดวงนั้นจะสามารถบอกได้เลยว่า เรามีจุดแข็ง จุดอ่อนอะไร แง่มุมต่าง ๆ ในชีวิตของเรานั้น จะอยู่บนแผนที่ดวงที่เปรียบเสมือนลายแทงชีวิตของเรา (ตั้งแต่ชาติก่อน ๆ มา) ได้เลยค่ะ

แต่ทั้งนี้ โหราศาสตร์แนวนี้จะไม่เน้นให้คนไปยึดติดว่า เราเคยเกิดมาเป็นอะไร ยังไง แต่จะเน้นไปที่ "ประสบการณ์ทางจิตที่สั่งสมอยู่ในใจ" มากกว่า

ประสบการณ์นั้นมีทั้งบวกและลบ กี่ภพกี่ชาติที่เราเกิดมานั้น ล้วนแล้วแต่ได้รับการฝังอยู่ในจิตตลอดมา

และช่วงชีวิตก่อนที่เราจะเกิดมานั้น (ช่วงระหว่างภพชาติเดิมกับใหม่) เราจะมีการทำ Life Review เพื่อทบทวนว่าที่ผ่านมาในทุก ๆ ชาตินั้น จิตวิญญาณได้รับการพัฒนาหรือเสียหายในจุดใดบ้าง

และเราได้เลือกว่าในชาติหน้าเราจะต้องพบเจอบทเรียนชีวิตอะไรบ้างเพื่อที่จะยกระดับจิตวิญญาณของเราให้สูงขึ้นได้

ใช่ค่ะ เราเป็นคนเลือก

บีมเห็นด้วยกับจุดนี้และชอบในจุดนี้มาก และคิดว่ามันเป็นสัมมาทิฐิที่พระพุทธองค์ได้พร่ำสอนว่าให้เราเป็น "ผู้เลือกการกระทำ" ด้วยตัวเอง หรือที่เรียกว่า กฎแห่งกรรม นั่นเอง

ที่บีมเชื่อจุดนี้ เพราะ มีหลายคำทำนายที่บีมก็เฝ้าตระเวนไปดูเมื่อสมัยก่อนโน้น ซึ่งบีมสามารถผ่อนหนักเป็นเบาหรือหักล้างมันได้นะ
  1. ข้อแรก คุณแม่เคยเข้าใจว่าบีมจะเรียนสาขารัฐศาสตร์ไม่ได้ เพราะมันเป็นวิชาท่อง แต่ในที่สุด ด้วยเทคนิคในการเรียนประกอบกับความตั้งใจและการวางแผนในการเรียนของเรา ก็ได้เกรดมาดี
  2. ข้อที่สอง เคยมีคนบอกว่าบีมค้าขายไม่ได้ เพราะพูดน้อย ไม่กล้าแสดงออก และคิดเลขไม่เก่ง (บีมเองก็เคยเชื่อแบบนั้น) แต่ตอนนี้ รายได้หลักมาจากการค้าขายที่สามารถเลี้ยงตัวเองและช่วยเหลือครอบครัวได้บ้างค่ะ เป็นเพราะเราตั้งใจที่จะทำงานของตัวเอง ค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ เรียนรู้จนพอทำได้และเข้าใจหลักการทำงานประเภทค้าขายได้ ถ้าหลังจากนี้ไม่ได้ขายสิ่งนี้แล้ว ก็เป็นทักษะติดตัวที่จะไปทำค้าขายอย่างอื่นได้ค่ะ
  3. ข้อที่สาม เคยมีคนบอกว่าบีมจะได้คู่ไม่ดี ได้คู่ทุกข์ แต่ตอนนี้บีมกลับมีความสุขที่ได้ผู้ชายคนนี้มาอยู่ข้างกัน ทั้งนี้เพราะเราถือว่า Love conquers All ก่อนหน้าที่เราจะแต่งงานกัน ชีวิตด้านความรักบีมล้มเหลวอย่างรุนแรงค่ะ แต่ในที่สุดบีมคิดว่าบีมสอบผ่าน เพราะเราเริ่มรู้จักมองข้ามสิ่งที่เราเคยไม่ชอบในตัวเค้า และรักในสิ่งที่ดี ยอมรับในสิ่งที่เค้าเป็น ซึ่งมันก็ทำให้เราสุขได้
  4. ข้อที่สี่ ปีที่แล้ว เคยมีคนทำนายว่าเป็นปีที่แย่ที่สุดของบีม แต่ด้วยความดีที่เราเคยทำประกอบกับความตั้งใจในการทำมาหากินแบบสุจริต บีมถือว่าเป็นปีที่ดีของบีมและเป็นปีที่บีมตั้งตัวได้ และคิดว่า ถ้ามีคนทำนายว่านั่นแย่มาก แสดงว่าปีอื่น ๆ บีมคงจะสามารถผ่านไปได้แน่นอนด้วยทักษะที่ได้สั่งสมมาในปีนั้น
ด้วยความที่เราเป็นคนชอบความท้าทายมั้งคะ ทำให้เรารู้สึกว่าเราอยากเอาชนะคำทำนาย และหลาย ๆ อย่างก็พิสูจน์ว่า ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ลิขิตเรา

และในตอนนี้เข้าใจแล้วว่า ไม่มีลิขิตฟ้าหรอก มีแต่ลิขิตเราทั้งนั้น....

เพราะเรา "เลือก" บทเรี่ยนชวิตให้กับตัวเองไว้แล้วล่วงหน้าว่าเราจะเกิดมาแก้ปัญหานั้น ๆ ให้ได้ในชาตินี้

คนที่มีปัญหาอย่างเดิมซ้ำ ๆ แสดงว่าเค้ายังสอบไม่ผ่าน ....ก็เท่านั้น

ฆ่าตัวตายไปก็ทำให้โลกวิญญาณเสียสมดุลเปล่า ๆ ค่ะ

กว่าจะเกิดเป็นคนได้ทั้งทีนั้นแสนยากลำบากนะ (ยิ่งเป็นคนแบบสมบูรณ์ไม่พิการนี่ พ่อแม่คุณลุ้นตัวโก่งเลยรู้มั้ยคะ เหมือนบีมตอนท้องน่ะค่ะ)

มันก็จะโยงกลับเข้ามาหาความหดหู่ใจที่เกิดขึ้นกับบีมในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าทำไมเราต้องมาเกิดในกลียุคนี้ด้วยนะ

แต่ท้ายที่สุดแล้ว ด้วยคำปลอบโยนจากกัลยาณมิตรจาก Facebook และเพื่อนเก่าของบีม ก็ทำให้คลายกังวลได้ ทำให้จิตเราสุขมากขึ้น

ด้วยข้อมูลที่เราพยายามหาเพิ่มเติม ก็ทำให้เราได้เตรียมตัวเตรียมใจกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น และมันจะช่วยลดความกังวลได้ระดับหนึ่ง (เป็นธรรมดาค่ะที่เราจะค่อย ๆ คลายกังวล ถ้าเรา Educate ตัวเองมากขึ้น)

และสำคัญที่สุดคือ บีมคงเลือกเอาไว้แล้วว่า บีมจะเกิดมาในยุคนี้ เลือกที่จะเผชิญอะไรแบบนี้

คำถามที่ว่า "ทำไมเราต้องเกิดมาเจออะไรแบบนี้" มันหายไปเลย

มันเกิดเป็นสติ เป็นความเบิกบานขึ้นแทนด้วยคำว่า "เราเลือกแล้ว" คำเดียว

และแม้กระทั่งลูกเราและคนใกล้ชิดเราก็ตาม เราก็อดห่วงไม่ได้ว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาจะเป็นอย่างไร

พอคิดได้ว่า "เขาเลือกแล้วที่จะเกิดมาในยุคนี้"

มันทำให้บีมรู้สึกผ่อนคลายไปได้มาก...เพราะทุกการเกิดมามันย่อมมีความหมายและเหตุผลของจิตนั้น ๆ อยู่เบื้องหลัง

สิ่งที่เราทำได้คือ ยึดหลักธรรมคำสอนเอาไว้ให้มั่น อย่าให้สติหลุด สติแตก ไม่งั้นบ้าแน่ๆ ถ้าเกิดอะไรแย่ ๆ ขึ้น และช่วงวิกฤตินั้น คนเราจะขุดเอาสันดานขึ้นมาเลยล่ะค่ะ...(เคยดูรายการ Survivor มั้ย คู่รักหลายคู่เลิกกันหลังเข้าร่วมรายการเยอะไป)

และนอกจากนี้ บีมยังเชื่อว่า หากเราทำดี ความดีจะคุ้มครองเรา ชาตินี้อาจคุ้มครองไม่ได้แต่คุ้มได้เมื่อเราจากไปแน่นอน ขอให้จิตสุดท้ายเราเป็นสุขก็พอ

และยังเชื่อว่า ถ้าคนบนโลกในตอนนี้ทั้งหมด (ทั้งหมดเลยนะคะ) เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม และช่วยสร้างการกระทำด้านบวกขึ้นมาแทนแบบเต็มสตีม (อัตราเร่ง) สำนึกในบุญคุณของโลกและธรรมชาติให้มาก ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่ตัดไม้ ไม่ทิ้งขยะเรื่อยเปื่อยอีกต่อไป...ไม่เปิดไฟทิ้งไว้ ไม่เป็นบริโภคนิยมที่ทำให้ทรัพยากรโลกยิ่งสิ้นเปลือง และหันมาอยู่กับธรรมชาติแบบง่าย ๆ

บีมเชื่อว่า เราจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้...

เหมือนที่มีคนทำนายว่าปีที่แล้วเป็นปีที่แย่เกือบที่สุดของบีม...แต่บีมก็ยังตั้งตัวได้และดำเนินชีวิตด้วยความดีและสติ...มันก็ผ่านไปได้และไม่ใช่ปีที่เลวร้ายสำหรับบีมมากนัก

แต่ด้วยโลจิคหรือตรรกะของโลกนี้....วันล้างโลกก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกันค่ะ...

ไว้มาต่อบทความหน้าเกี่ยวกับโลจิคที่จะนำไปสู่่วันสิ้นโลกค่ะ...

คืนนี้...ดวงจันทร์สวย...เปิดหน้าต่างไปชื่นชมจันทร์กันได้นะคะ...สวยจริง ๆ

ป.ล. เขียนเพลินจนลืมไปเลยว่า ว่าจะให้ดูดวงของบีมเป็นตัวอย่าง...เอาไว้ครั้งหน้าครั้งนู้นที่บีมมีเวลาอีกนะคะ แล้วจะทำให้ดูแบบย่อ ๆ (เพราะยังศึกษาไม่จบเล่มเลย)

ความคิดเห็น