สิวเรื้อรัง: จิต ไฮโปทาลามัส เลือด ล้วนสำคัญ...คนเป็นสิวห้ามพลาดบทความนี้
วันนี้บีมมีเรื่องน่าสนใจจะมาแชร์ค่ะ เพราะบีมพึ่งได้ข้อมูลนี้สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวานจากลูกค้าท่านหนึ่งที่กลายมาเป็นเพื่อนที่พูดคุยกันเรื่องสุขภาพได้อย่างมีรสชาติ
เธอมีปัญหาสิวค่ะ และรักษามานานหลายปี เมื่อมาเจอบล็อกนี้ เราก็ได้พูดคุยกันเรื่อยมา เวลาเธอไปเข้าคอร์สสุขภาพที่ไหน หรือไปเจออะไรมาก็มักจะกลับมาเล่าให้ฟังเสมอ ๆ ค่ะ บีมจึงมีข้อมูลอัพเดทจากเธอคนนี้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว และจุดประเด็นให้บีมคิดต่อและค้นคว้าต่อค่ะ
เมื่อสัปดาห์ก่อน เธอได้ไปเข้าคอร์สสุขภาพบำบัด ซึ่งเธอบอกว่า เป็นแนวจีน-ทิเบตผสมกับไทย และเน้นไปที่พลังงานธรรมชาติบำบัด เช่น การใช้หินปรับสมดุลจักระ การอดอาหารล้างพิษ (คอร์สนี้ 3 วัน) การวัดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในตัว รวมไปถึงเรื่องกรรมและจิตวิญญาณกับโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่
การรักษาแนวนี้จะไม่ใช้ยาเลย แต่จะใช้ "การปรับสมดุลด้านวิถีชีวิต" ในการบำบัดและคืนสมดุลให้กับร่างกายแทน
ได้ฟังเธอเล่าแล้วบีมอยากไปเหลือเกินค่ะ ชอบอะไรแนวนี้ อยากพิสูจน์ว่าพลังในร่างกายนั้นเวลาที่เราวัดออกมาหรือได้ทำการบำบัด ณ ตอนนั้นเราจะรู้สึกยังไง เอาไว้คลอดเสร็จ และพอจะมีเวลาว่างนะคะ ถ้ามีโอกาสก็หวังว่าจะได้ไปบ้าง ^^
ไปวันแรก เธอไม่เชื่อพลังบำบัดพวกนี้เลยค่ะ มาเชื่อเอาวันที่ 2 แต่คอร์สมีแค่ 3 วันเท่านั้น แต่สิ่งที่เธอได้รับมาก็ทำให้ทราบสาเหตุของสิวของเธอมากกว่าเดิม
บีมสรุปประเด็นให้เลยนะคะ
บีมเคยอธิบายให้เพื่อน ๆ ฟังว่า สิวกับจิตนั้นเกี่ยวข้องกัน .... แต่นั่นเกิดกับตัวบีมเองนะคะ ซึ่งบีมคิดว่าถ้าใครได้ลองพิสูจน์แล้ว ก็จะได้รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เหมือนกันค่ะ
และเคสนี้ก็ได้ทำให้บีมกระจ่างว่า ทำไมการเลิกคิดถึงแต่เรื่องสิว การไม่สร้างความเครียด การปล่อยวาง คนที่รักษาศีล คนที่จิตใจดี มีน้ำใจ ชอบให้ทาน ฯลฯ ผิวจึงผ่องใสขึ้นได้
ซึ่งนั่นหมายถึง การจะรักษาสิวให้หายได้ ต้องพัฒนา "คุณภาพของจิตใจ" อย่างแยกกันไม่ออก
ถ้าเรามีสติ เราก็จะรู้ว่า กินอะไรแล้วดีต่อร่างกาย อะไรที่ไม่ดี เลือกกินตามเหตุผล ไม่ใช่ตามอารมณ์
ถ้าเรามีสติ เราก็จะรู้จักปล่อยวาง เมื่อเครียดเรื่องสิวบนหน้า ก็สามารถจับวางได้ และสามารถมองเห็นสิ่งที่เป็นเหตุของสิวของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น เพราะจิตที่มีสติและไม่เครียดจะทำให้มองเห็นอะไรตามที่เป็นจริง เอาข้อเท็จจริงสาเหตุของสิวที่เป็นไปได้มานั่งไล่ดู และปรับแก้ไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ต้องเจอทางของตัวเอง เพราะมีความเพียรเป็นที่ตั้ง
ถ้าเรามจิตที่นิ่ง เราจะสามารถได้ยินเสียงเรียกร้องของร่างกายว่าขณะนี้เป็นอย่างไร หิวหรือไม่ ร้อนหรือไม่ เย็นหรือไม่ อย่างไร และเราจะสามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้อง
ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่บีมเป็นไข้หวัดในสัปดาห์ที่ผ่านมา บีมจะพยายามฟังเสียงของร่างกายและตอบสนองให้ถูกต้องเพื่อที่จะคืนสมดุลให้กับเค้า โดยที่บีมใช้ไทลินอลช่วยเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น เพราะมันร้อนจนไม่ไหวจริง ๆ และไม่สามารถจะหาของฤทธิ์เย็นที่จะมีพลังมากพอที่จะดับร้อนที่เป็นอยู่ได้ และบีมเลือกที่จะไม่หาหมอเพราะบีมไม่ต้องการกินยาแก้อักเสบซึ่งเกรงจะกระทบต่อการสร้างกระดูกของลูกค่ะ
บีมฟังเสียงร่างกาย โดยที่ว่า ถ้าเราไม่อยากทานอะไร เราก็จะไม่ทาน ร่างกายไม่ได้ต้องการก็คือไม่ต้องการ
ผู้ดูแลคนไข้หลายคน ชอบที่จะให้คนป่วยทานนั่นทานนี่โดยที่เค้าไม่อยากอาหาร หารู้ไม่ว่า การทานอาหารเข้าไปนั้น จะไปแย่งพลังในการเยียวยารักษาร่างกายมาที่ระบบย่อยอาหาร ทำให้จากที่จะหายเร็วเป็นหายช้า
บีมมีไข้สูงตลอด 2 วัน ยกเว้นตอนทานไทลินอลในคืนวันที่ 2 และ 3 ซึ่งทานเพียงครั้งละเม็ดเท่านั้นค่ะ และมันก็ช่วยให้บีมหลับได้ เพราะไข้ลง ทำให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้น
ตลอดเวลาที่ป่วยนั้น บีมดื่มน้ำมะนาวเพื่อดับฤทธิ์ร้อน เพราะมะนาวนั้นหาง่ายที่สุด และช่วยให้บีมดับฤทธิ์ร้อนได้จริง แต่นั่นไม่พอ เพราะบีมไอและเจ็บอก จึงคิดว่าติดเชื้อที่อกด้วย จึงดื่มน้ำต้มกระเทียมและหอมแดงเพิ่ม
และตอนเป็นไข้ นั่นคือ ภูมิต้านทานของเรากำลังต่อสู้กับเชื้อโรคอยู่ ถ้าไข้ลง หมายถึง ร่างกายของเราชนะ และภูมิของเราจะแข็งแรงขึ้น กลับสู่สมดุลได้เร็วขึ้น หายป่วยเร็วขึ้น
ก็เป็นเช่นนั้นจริงค่ะ ในวันที่ 3 นั้น ช่วงบ่าย สิ่งที่บีมทำมาเริ่มได้ผล เพราะ บีมมีเหงื่อออก 2-3 รอบโดยที่ไม่ได้ทานยาใด ๆ เลย
บีมกับคุณน้าที่ไปส่งบีมที่เชียงใหม่ เป็นหวัดพร้อมกันค่ะ อาการเดียวกัน แต่คุณน้าไม่ได้ดูแลร่างกายแบบบีม ตอนนี้คุณน้ายังไม่หายค่ะ แต่บีมเหลือแค่อาการไอเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ซึ่งถือว่าฟื้นตัวได้ค่อนข้างเร็วค่ะ
บทเรียนที่ได้จากการรักษาสิวด้วยพลังธรรมชาติบำบัดนั้น มันอยู่ติดตัวตลอดค่ะ และเรารักษาตัวเองได้จริง ๆ อย่างน้อย บีมก็บรรลุวัตถุประสงค์ที่จะไม่กินยาแก้อักเสบ เพราะนั่นคือ ยาปฏิชีวนะที่จะมาฆ่าจุลินทรีย์ที่บีมอุตส่าห์เพาะเลี้ยงมากับมือ บีมรู้ว่ากินแล้วลูกก็ได้รับผลกระทบเรื่องกระดูกด้วย ภูมิคุ้มกันตัวเองก็จะอ่อนแอลงด้วย
เล่ามาซะยาวสำหรับวันนี้ บีมก็คิดว่าจะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์อีกชิ้นหนึ่งที่เพื่อน ๆ จะสามารถนำไปคิดต่อเพื่อที่จะรักษาสิวด้วยตัวเองได้ดีขึ้นนะคะ
บีมก็ยังยืนยันว่า "จิต" สำคัญที่สุดค่ะ
เธอมีปัญหาสิวค่ะ และรักษามานานหลายปี เมื่อมาเจอบล็อกนี้ เราก็ได้พูดคุยกันเรื่อยมา เวลาเธอไปเข้าคอร์สสุขภาพที่ไหน หรือไปเจออะไรมาก็มักจะกลับมาเล่าให้ฟังเสมอ ๆ ค่ะ บีมจึงมีข้อมูลอัพเดทจากเธอคนนี้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว และจุดประเด็นให้บีมคิดต่อและค้นคว้าต่อค่ะ
เมื่อสัปดาห์ก่อน เธอได้ไปเข้าคอร์สสุขภาพบำบัด ซึ่งเธอบอกว่า เป็นแนวจีน-ทิเบตผสมกับไทย และเน้นไปที่พลังงานธรรมชาติบำบัด เช่น การใช้หินปรับสมดุลจักระ การอดอาหารล้างพิษ (คอร์สนี้ 3 วัน) การวัดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในตัว รวมไปถึงเรื่องกรรมและจิตวิญญาณกับโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่
การรักษาแนวนี้จะไม่ใช้ยาเลย แต่จะใช้ "การปรับสมดุลด้านวิถีชีวิต" ในการบำบัดและคืนสมดุลให้กับร่างกายแทน
ได้ฟังเธอเล่าแล้วบีมอยากไปเหลือเกินค่ะ ชอบอะไรแนวนี้ อยากพิสูจน์ว่าพลังในร่างกายนั้นเวลาที่เราวัดออกมาหรือได้ทำการบำบัด ณ ตอนนั้นเราจะรู้สึกยังไง เอาไว้คลอดเสร็จ และพอจะมีเวลาว่างนะคะ ถ้ามีโอกาสก็หวังว่าจะได้ไปบ้าง ^^
ไปวันแรก เธอไม่เชื่อพลังบำบัดพวกนี้เลยค่ะ มาเชื่อเอาวันที่ 2 แต่คอร์สมีแค่ 3 วันเท่านั้น แต่สิ่งที่เธอได้รับมาก็ทำให้ทราบสาเหตุของสิวของเธอมากกว่าเดิม
บีมสรุปประเด็นให้เลยนะคะ
- เพียงแค่เห็นหน้า อาจารย์ก็บอกได้แล้วว่า เธอมีปัญหาสุขภาพอะไรอยู่ภายใน โดยเธอเป็น 2 ใน 30 ท่านผู้เข้าคอร์สที่อาจารย์ถามว่า "มีน้ำตาลในเลือดเท่าไหร่" ทั้งที่เธอก็อายุน้อยในที่นั้น
- อาจารย์พูดคุยกับเธอตัวต่อตัวเป็นคนสุดท้ายเพราะบอกว่ามีอะไรต้องอธิบายเยอะ
- อาจารย์บอกว่า เธอไม่ได้เป็นแค่สิว เธอเป็นมากกว่าสิว สิวเป็นแค่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าในร่างกายมีอะไรผิดปกติ ถ้ารักษาข้างในหาย สิวจะหายไปด้วย ซึ่งอาจารย์ขอเวลา 3 เดือน
- ระบบเลือดของเธอไม่เหมือนคนอื่น โดยเลือดที่สมบูรณ์นั้นจะมีอายุประมาณ 120 วันแล้วถูกสร้างใหม่ แต่ของเธอนั้นไม่ถึง จึงทำให้ร่างกายโดยรวมบกพร่อง เลือดส่งอาหารและออกซิเจนไปได้ไม่เต็มที่
- เม็ดเลือดแดงของคนสุขภาพดีจะมีลักษณะกลม แต่ของเธอเป็นลักษณะรี
- ต่อมไฮโปทาลามัสมีการทำงานที่มากกว่าปกติ เพราะ เธอเป็นคนคิดไม่หยุดตั้งแต่เกิด คิดมาก คิดอะไรตลอดเวลา และต่อมไฮโปทาลามัสจะเกี่ยวข้องกับการควบคุมฮอร์โมนหลายตัวในร่างกาย และเมื่อต่อมนี้ทำงานหนักเกินไป ฮอร์โมนจึงแปรปรวน และระบบฮอร์โมนนั้น เมื่อมีตัวใดตัวหนึ่งแปรปรวน มันจะรวนกันไปหมด
- เธอใช้ชีวิตไม่ตรงกับจิตวิญญาณที่เธอมาเกิด กล่าวคือ ชาติก่อนเธอเป็นผู้ทรงศีลหรือเป็นนักบวช แต่ชาตินี้ใช้ชีวิตแบบปุถุชนคนธรรมดา จึงทำให้เกิดความเครียดจากภายในที่มีชีวิตไม่สอดคล้องกับจิตแรกเกิด เธอยอมรับว่าอาจารย์ได้พูดถูกที่ว่า ตอนเด็ก ๆ นั้นเธอเลี้ยงยาก และหลาย ๆ อย่างที่อาจารย์พูดนั้นก็ถูกหลายอย่างมากทั้งที่เธอกับอาจารย์ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
- เธอเป็นมากกว่าสิว โรคที่อาจจะเกิดกับเธอในอนาคตคือ ทาลัสซีเมีย เบาหวาน และ เนื้องอก
- สิวของเธอไม่ใช่โรคทางกายเท่านั้น เป็นโรคทางจิตวิญญาณ ถ้าหากรักษาที่จิตหาย สิวก็จะดีขึ้นด้วย
- เธอต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างเลือดขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะระบบเลือดของเธอมีอายุสั้นกว่าคนอื่น ๆ
บีมเคยอธิบายให้เพื่อน ๆ ฟังว่า สิวกับจิตนั้นเกี่ยวข้องกัน .... แต่นั่นเกิดกับตัวบีมเองนะคะ ซึ่งบีมคิดว่าถ้าใครได้ลองพิสูจน์แล้ว ก็จะได้รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เหมือนกันค่ะ
และเคสนี้ก็ได้ทำให้บีมกระจ่างว่า ทำไมการเลิกคิดถึงแต่เรื่องสิว การไม่สร้างความเครียด การปล่อยวาง คนที่รักษาศีล คนที่จิตใจดี มีน้ำใจ ชอบให้ทาน ฯลฯ ผิวจึงผ่องใสขึ้นได้
ซึ่งนั่นหมายถึง การจะรักษาสิวให้หายได้ ต้องพัฒนา "คุณภาพของจิตใจ" อย่างแยกกันไม่ออก
ถ้าเรามีสติ เราก็จะรู้ว่า กินอะไรแล้วดีต่อร่างกาย อะไรที่ไม่ดี เลือกกินตามเหตุผล ไม่ใช่ตามอารมณ์
ถ้าเรามีสติ เราก็จะรู้จักปล่อยวาง เมื่อเครียดเรื่องสิวบนหน้า ก็สามารถจับวางได้ และสามารถมองเห็นสิ่งที่เป็นเหตุของสิวของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น เพราะจิตที่มีสติและไม่เครียดจะทำให้มองเห็นอะไรตามที่เป็นจริง เอาข้อเท็จจริงสาเหตุของสิวที่เป็นไปได้มานั่งไล่ดู และปรับแก้ไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ต้องเจอทางของตัวเอง เพราะมีความเพียรเป็นที่ตั้ง
ถ้าเรามจิตที่นิ่ง เราจะสามารถได้ยินเสียงเรียกร้องของร่างกายว่าขณะนี้เป็นอย่างไร หิวหรือไม่ ร้อนหรือไม่ เย็นหรือไม่ อย่างไร และเราจะสามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้อง
ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่บีมเป็นไข้หวัดในสัปดาห์ที่ผ่านมา บีมจะพยายามฟังเสียงของร่างกายและตอบสนองให้ถูกต้องเพื่อที่จะคืนสมดุลให้กับเค้า โดยที่บีมใช้ไทลินอลช่วยเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น เพราะมันร้อนจนไม่ไหวจริง ๆ และไม่สามารถจะหาของฤทธิ์เย็นที่จะมีพลังมากพอที่จะดับร้อนที่เป็นอยู่ได้ และบีมเลือกที่จะไม่หาหมอเพราะบีมไม่ต้องการกินยาแก้อักเสบซึ่งเกรงจะกระทบต่อการสร้างกระดูกของลูกค่ะ
บีมฟังเสียงร่างกาย โดยที่ว่า ถ้าเราไม่อยากทานอะไร เราก็จะไม่ทาน ร่างกายไม่ได้ต้องการก็คือไม่ต้องการ
ผู้ดูแลคนไข้หลายคน ชอบที่จะให้คนป่วยทานนั่นทานนี่โดยที่เค้าไม่อยากอาหาร หารู้ไม่ว่า การทานอาหารเข้าไปนั้น จะไปแย่งพลังในการเยียวยารักษาร่างกายมาที่ระบบย่อยอาหาร ทำให้จากที่จะหายเร็วเป็นหายช้า
บีมมีไข้สูงตลอด 2 วัน ยกเว้นตอนทานไทลินอลในคืนวันที่ 2 และ 3 ซึ่งทานเพียงครั้งละเม็ดเท่านั้นค่ะ และมันก็ช่วยให้บีมหลับได้ เพราะไข้ลง ทำให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้น
ตลอดเวลาที่ป่วยนั้น บีมดื่มน้ำมะนาวเพื่อดับฤทธิ์ร้อน เพราะมะนาวนั้นหาง่ายที่สุด และช่วยให้บีมดับฤทธิ์ร้อนได้จริง แต่นั่นไม่พอ เพราะบีมไอและเจ็บอก จึงคิดว่าติดเชื้อที่อกด้วย จึงดื่มน้ำต้มกระเทียมและหอมแดงเพิ่ม
และตอนเป็นไข้ นั่นคือ ภูมิต้านทานของเรากำลังต่อสู้กับเชื้อโรคอยู่ ถ้าไข้ลง หมายถึง ร่างกายของเราชนะ และภูมิของเราจะแข็งแรงขึ้น กลับสู่สมดุลได้เร็วขึ้น หายป่วยเร็วขึ้น
ก็เป็นเช่นนั้นจริงค่ะ ในวันที่ 3 นั้น ช่วงบ่าย สิ่งที่บีมทำมาเริ่มได้ผล เพราะ บีมมีเหงื่อออก 2-3 รอบโดยที่ไม่ได้ทานยาใด ๆ เลย
บีมกับคุณน้าที่ไปส่งบีมที่เชียงใหม่ เป็นหวัดพร้อมกันค่ะ อาการเดียวกัน แต่คุณน้าไม่ได้ดูแลร่างกายแบบบีม ตอนนี้คุณน้ายังไม่หายค่ะ แต่บีมเหลือแค่อาการไอเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ซึ่งถือว่าฟื้นตัวได้ค่อนข้างเร็วค่ะ
บทเรียนที่ได้จากการรักษาสิวด้วยพลังธรรมชาติบำบัดนั้น มันอยู่ติดตัวตลอดค่ะ และเรารักษาตัวเองได้จริง ๆ อย่างน้อย บีมก็บรรลุวัตถุประสงค์ที่จะไม่กินยาแก้อักเสบ เพราะนั่นคือ ยาปฏิชีวนะที่จะมาฆ่าจุลินทรีย์ที่บีมอุตส่าห์เพาะเลี้ยงมากับมือ บีมรู้ว่ากินแล้วลูกก็ได้รับผลกระทบเรื่องกระดูกด้วย ภูมิคุ้มกันตัวเองก็จะอ่อนแอลงด้วย
เล่ามาซะยาวสำหรับวันนี้ บีมก็คิดว่าจะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์อีกชิ้นหนึ่งที่เพื่อน ๆ จะสามารถนำไปคิดต่อเพื่อที่จะรักษาสิวด้วยตัวเองได้ดีขึ้นนะคะ
บีมก็ยังยืนยันว่า "จิต" สำคัญที่สุดค่ะ
ความคิดเห็น
พออ่านแล้ว หลายๆคนคงอยากรู้อ่ะ ว่าเค้าไปหาหมอที่ไหน บีมบอกหน่อยจิ