เรื่องเก่า เล่าใหม่: ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ภัยเงียบที่คนเป็นสิวคนระวัง

วันนี้เกิดมีคำถามอยู่ในใจ เพราะ ใจจริง ต้องการจะเขียนบทความเรื่อง Fatty Liver อีกรอบค่ะ

ก็มาหาอ่านข้อมูลรีวิวดูอีกรอบเพื่อความแม่นยำ แต่เจอเพื่อนเก่า คำว่า "ภาวะดื้อต่ออินซูลิน" (Insulin Resistance) ก็ต้องมารื้อฟื้นกันใหม่หลังจากที่เคยอ่านนานแล้วของคุณ Seppo

หลังจากไปตระเวนหาข้อมูล ได้ลิงค์ที่มีประโยชน์มาดังนี้ค่ะ
นอกจากคุณ Seppo แล้ว บีมยังไม่เคยเห็นบทความที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างภาวะดื้ออินซูลินกับสิวเลย เลยขอเขียนเอาไว้นิดนึงเป็นความรู้เผยแพร่ไปค่ะ

ก่อนอื่น มาทำความรู้จักกับ "ภาวะดื้ออินซูลิน" กันก่อนนะคะ
จริง ๆ แล้ว นพ.ปิติ เขียนไว้ที่ "ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ภาวะก่อนที่จะเป็นโรคเบาหวาน" เขียนเอาไว้ค่อนข้างเห็นภาพชัดเจนแล้วค่ะ

แต่บีมจะสรุปให้ย่อ ๆ ว่า การดื้อหรือไม่รับฟังอินซูลินนั้น คนที่ไม่รับฟังคือ เซลล์ของเราค่ะ เซลล์ร่างกายนี่แหละ โดยที่อินซูลินเค้าจะมีหน้าที่ช่วยควบคุมระบบเมตาบอลิซึมหรือการเผาผลาญพลังงานที่ได้จากคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนให้เป็นปกติ คือ ไปสั่งเซลล์ของเราให้เอาพลังงานจากสารอาหารเหล่านี้ไปใช้

แต่ถ้าหากเรากินของหวาน ของมัน หรือโปรตีนเข้าไปมากจนเกินไป

พี่ตับอ่อนของเราก็จะผลิตอินซูลินออกมาเพิ่มขึ้นตามระดับสารอาหารให้พลังงานในเลือดที่เพิ่มขึ้น (จากการตามใจปากของเรานี่แหละ) พออินซูลินมีปริมาณเพิ่มขึ้น ก็จะออกคำสั่งให้เซลล์เอาพลังงานไปใช้มากขึ้น จนในที่สุด เซลล์ทนไม่ไหวละ สั่งเหลือเกิน จบ converse แยกทางกันไปซะเลย ชั้นไม่ฟังเธอแล้ว

คราวนี้ล่ะค่ะ กรดไขมันเอย อะมิโนเอย หรือกลูโคสเอย...ลอยละล่องเต็มเลือดไปหมด ไม่ถูกนำมาใช้

นาน ๆ เข้า กินแต่ของเดิม ๆ เข้าไป (แป้ง น้ำตาล ไขมัน)
แถมไม่ออกกำลัง

มันก็จะไปสะสมสิงสถิตย์อยู่ตามที่ต่าง ๆ ของร่างกาย ในเลือดบ้างล่ะ ในอวัยวะต่าง ๆ บ้างล่ะ

สะสมที่ตับ ก็จะเป็น ไขมันพอกตับ (Fatty Liver)
สะสมที่สมอง ก็จะเป็น อัลไซเมอร์ หรือ เส้นเลือดอุดตัน เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตย์ได้
สะสมที่หัวใจ ก็จะเป็น โรคหัวใจ
สะสมที่เลือด ก็จะเป็นความดันโลหิต
สะสมที่ถุงน้ำดี ก็จะเป็นนิ่วในถุงน้ำดี
สะสมที่ไต ก็จะเป็นนิ่วในไต
สะสมที่ข้อ ก็จะเป็นเก๊าท์
สะสมที่ลำไส้ใหญ่ ก็จะเป็นลำไส้อักเสบบ้างล่ะ เป็นโรคผิวหนังบ้างล่ะ หรือเป็นโรคทั้งหลายเกี่ยวกับท้องทั้งหมด
สะสมที่มดลูก ก็จะเป็นซีสต์ ส่งผลให้ฮอร์โมนผิดปกติอีก

แล้วแต่โชคชะตาจะพาไปว่ามันจะไปสถิตย์อยู่ ณ ที่ใดมากน้อยค่ะ

พอจะเห็นภาพนะคะว่า ของไม่ได้ใช้ เก็บไว้นาน ๆ ก็จะเริ่มเป็นพิษต่อร่างกาย
ล้างออกก็ไม่ล้างออก แถมยังเอาของใหม่เข้าไปเรื่อย ๆ

แล้วจะไม่ให้เป็นโรคได้อย่างไร...

และพอจะมองเห็นมั้ยคะ ที่บีมบอกว่า หลาย ๆ ครั้ง สิวนั้น สัมพันธ์กับความผิดปกติที่อวัยวะต่าง ๆ โดยใบหน้าแต่ละบริเวณจะเหมือนเป็นเส้นพลังงานหรือเส้นลมปราณของอวัยวะที่แตกต่างกัน

บีมไม่ค่อยแน่ใจเรื่องเส้นลมปราณว่า เส้นไหนพาดผ่านอวัยวะใดบ้าง อันนี้คงต้องให้คุณหมอแผนไทยหรือแผนจีนท่านช่วยดูให้นะคะ

หมอเก่ง ๆ แค่ดูหน้าก็วิเคราะห์โรคได้แล้วค่ะ

และในคุณผู้หญิงหลายราย การรักษาโรค PCOS หรือความผิดปกติของรังไข่ (ขอค้นข้อมูลเพิ่มนะคะ รีวิวไปในตัว เคยอ่านนานแล้ว แต่เลือนไปละค่ะ แต่โรคนี้ เกี่ยวกับสิวเรื้อรัง 100%) พอรักษาหาย ก็สิวหายไปด้วย ก็มีเหมือนกัน

ดังนั้น ก่อนที่จะไปไกล ให้สังเกตอาการภาวะดื้ออินซูลินของตัวเองก่อนค่ะ

อาการนี้เหมือนกับคนเป็นเบาหวาน มันไม่ออกอาการมาชัดเจนค่ะ แต่เราจะเหนื่อยง่าย แม้จะไม่ได้อ้วน หรือเราตัวเล็ก เพราะร่างกายดึงพลังงานจากสารอาหารให้พลังงานไปใช้ได้น้อยกว่าคนอื่น

เรียนพละกับเพื่อนทีไร วิ่งแป๊บเดียวก็เหนื่อยละ นี่คือการสังเกตง่าย ๆ

ภาวะนี้ บีมเชื่อว่า เกี่ยวกับสิวแน่นอน

เพราะ การที่มีภาวะดื้ออินซูลิน จะทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งน้ำตาลเป็นสาเหตุของสิวอักเสบ และเป็นอาหารของเชื้อโรค และยังทำให้ร่างกายมีภาวะร้อนเกินด้วยค่ะ (แก่เร็วเพราะโดนเผาหนัก)

นอกจากน้ำตาล ก็มีไขมันในเลือดสูงด้วย (เพราะร่างกายไม่เอาไขมันไปใช้) ไขมันนอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว หรือถ้าในคนผอมที่ไม่ยักกะอ้วน แต่จะมีเซลลูไลท์อย่างแน่นอน 100% และแน่นอนยิ่งกว่านั้นคือ มีภาวะไขมันพอกตับแน่ ๆ

และภาวะไขมันพอกตับ จะทำให้เป็นสิวหว่างคิ้วไม่หาย สิวขมับด้วยค่ะ

ของบีม สิวบริเวณนี้หายไปตั้งแต่ประมาณเดือนกุมภา คือ ช่วงที่เริ่มกิน Milk Thistle วิตามินรวม Apple Cider และนำมาเช็ดหน้าด้วย สิวอุดตันบริเวณนี้ก็เริ่มหายไป คาดว่าเป็นผลมาจาก Milk Thistle ที่มีสรรพคุณบำรุงและกำจัดพิษในตับด้วยค่ะ (ข้อสันนิษฐานของตัวเอง)

และที่หน้าเกลี้ยงมากคือ หลังจากสวนลำไส้ด้วยกาแฟ ซึ่งเป็นการทำความสะอาดตับนั่นเอง

ก็เลยอยากจะบอกว่า จากข้อสันนิษฐานและการทดลองของตัวเอง "ไขมันพอกตับ" ทำให้เกิดสิวเรื้อรังด้วยแน่นอน ขอให้ลดอาหารจำพวก ไขมันและแป้งให้มาก เครื่องดื่มหรือของหวาน หรือผลไม้ที่หวานเกินไปก็ไม่ควรค่ะ ค่อยกลับมาทานอย่างพอดี ๆ เมื่อตอนที่ทำให้ไขมันออกไปจากตับได้แล้วนะคะ หรือตับแข็งแรงขึ้น พอจะต่อกรกับสิ่งเหล่านี้ได้

ส่วนโปรตีนที่มีอยู่ในเลือดสูงเกินไป จะทำให้ไตทำงานหนัก ของเสียจากการย่อยโปรตีนทำให้เกิดยูริค เป็นพิษต่อร่างกาย และถ้าตับยิ่งแย่ ก็จะไม่สามารถเปลี่ยนสารพิษตัวนี้ให้กลายเป็นกลางเพื่อขับออกได้

พิษนะคะ ให้นึกภาพ อาวุธที่เป็น "จักร" น่ะค่ะ แบบละครจักร ๆ วงศ์ ๆ มันจะหมุนวิ้ว ๆๆๆๆ ไปตามเลือด ไปเรื่อยเปื่อยตราบใดที่ยังไม่ถูกเอาออกจากร่างกายหรือถูกลับคมออกโดยตับ (ที่แข็งแรง)

จักรนี้จะตัดเนื้อเยื่อทุกที่ที่มันผ่าน รบกวนทุกอย่าง เป็นอันธพาลครองร่างกายไป...

คนเป็นสิวนี่ดีค่ะ ร่างกายส่งสัญญาณให้ไหวตัวทันก่อน จะได้แก้ไขได้ทันท่วงที ก่อนจะเป็น เบาหวาน ไขมันในเส้นเลือด ฯลฯ

ขอบอก ^^

ความคิดเห็น