ใช้จิตสั่งสิ...แล้วสิวจะดีขึ้น

ปกติบีมจะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการดูแลร่างกายนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการดีท็อกซ์ด้วยการสวนล้างลำไส้ การทานอาหารเสริม การทานวิตามิน การดูแลเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่บีมให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปัจจัยอื่น คือ จิต

เคยสังเกตมั้ยคะว่า ทำไมการสั่งจิตใต้สำนึก หรือการ reprogram จิตใต้สำนึกจึงสามารถทำให้คนหลายคนสามารถหายจากโรคเรื้อรังได้ เปลี่ยนนิสัยแย่ ๆ มาเป็นนิสัยที่ดีกว่าเดิมได้

แม้แต่คุณ Seppo เอง ผู้เขียนหนังสือ Clear for Life ที่บีมปฏิบัติตามคำแนะนำในหนังสือของเค้ามาตั้งแต่แรก ๆ ของการดูแลผิวตัวเองนั้น มีช่วงหนึ่งที่บีมได้ติดต่อไป แล้วเค้าอยู่อินเดีย ก็ได้มีการคุยกันผ่านทางอีเมล บีมก็สอบถามเค้าไปว่าไปทำอะไรที่นั่น

เค้าก็บอกว่า มาฝึกจิต และเค้าก็กำลังจะเขียนหนังสือเล่มใหม่เสร็จแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับ "จิต กับ สิว"

ตัวเค้าเองปฏิบัติทางด้านร่างกายมานานจนสิวหายดี และช่่วงหลังเค้าก็สนใจเรื่องจิตเป็นอย่างมาก จึงไปอินเดียค่ะ

เค้าเล่าว่า อาจารย์ให้ทำดีท็อกซ์จิต....น่าสนใจมั้ยคะ

เค้าบอกว่า อารมณ์มันจะขุ่นเคือง หดหู่ เศร้าแบบบอกไม่ถูกอยู่ช่วงหนึ่ง

หลังจากนั้น มันจะดีขึ้น

ส่วนอาหารที่ทานนั้น ก็แบบแป้ง ๆ คือ หาผักไม่ได้เลย

แต่สิวไม่ขึ้นเลย...และเค้าตั้งสันนิษฐานว่า อาจจะเกิดจากจิตที่ได้รับการถอนพิษออกไปแล้ว

ส่วนตัวบีม...คิดว่า มันเป็นไปได้อยู่มากค่ะ เพราะตัวการที่ทำให้เราเกิดโรค คือ กิเลส โลภ โกรธ หลง

การถอนพิษของเค้า บีมมองว่า คือ การตั้งจิตให้มั่น ทำสมาธิ แล้วย้อนกลับไปหาจุดที่จิตเคยบาดเจ็บ จุดที่จิตมีความโลภ โกรธ หลง

อย่างของบีม จุดอ่อนคือ โทสะ หรือ ความโกรธ

เวลานั่งสมาธิ ถ้าจิตเริ่มนิ่งมาก ๆ บีมจะย้อนกลับไปดูจิตเรื่อย ๆ ว่า ความเจ็บปวดคั่งค้างฝังลึกมาจากชีวิตช่วงไหน พอถึง ณ ฉากนั้น มันเจ็บปวดนะคะ คือ เราต้องเผชิญหน้ากับมัน ว่ามันคืออะไร ทำไมเราเจ็บปวด แล้วพยายามเข้าใจมัน ไม่ปรุงแต่งมัน พยายามเข้าใจว่าคนที่เคยทำให้เราโกรธมีเหตุผลอะไร

พอฝึกทำไปเรื่อย ๆ มันจะค่อย ๆ คลายไปทีละปม สองปม

จนทุกวันนี้ บีมคิดว่า สภาพร่างกายและจิตใจที่ดีขึ้นนี้ เป็นผลมาจากการสวดมนต์ นั่งสมาธิ แผ่ส่วนกุศลอย่างมากค่ะ

และบีมคิดว่า นี่แหละเป็นการดีท็อกซ์จิตแบบพุทธ ที่เราไม่ต้องไปถึงอินเดียค่ะ ของของเรานั้นดีอยู่แล้ว ....บีมคิดอย่างนั้นนะคะ

และเพื่อเสริมข้อมูลตรงนี้...

บีมขอคัดลอกส่วนหนึ่งของบทความ "การแพทย์ของอนาคต คือ การดูแลด้วยหัวใจ" จากนิตยสารขายดี ฉบับประจำเดือนมีนาคม 2553 หน้า 110 - 111 ดังนี้ค่ะ

"ร่างกายของเรามีการ "เกิดใหม่" ตลอดเวลา ผิวหนังผลัดทุก 28 วัน เยื่อบุกระเพาะทุก 5 วัน เซลล์ตับทุก 6 สัปดาห์ เซลล์กระดูกทุก 3 เดือน ฯลฯ แม้ว่าตาของเราจะมองเห็นร่างกายของเป็นของแข็ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ร่างกายของเรา คือ กลุ่มของพลังงานที่มีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนรูปไปมาระหว่างความเป็นมวลสาร และความเป็นพลังงานตลอดเวลา ที่พระพุทธเจ้าใช้คำว่า "เกิด-ดับ" นั่นเอง

เมื่อมนุษย์แท้จริงแล้วคือพลังงาน จิตของเราจะเป็นตัวสั่งการ และออกคำสั่งให้เซลล์แต่ละเซลล์ทำตามคำสั่งที่จิตได้โปรแกรมเอาไว้ ร่างกายเราสามารถสร้างผลทางชีวเคมีใด ๆ ขึ้นได้ ตามคำสั่งของจิตใจ โดยเฉพาะความต้องการที่จะบำบัดตนเอง จิตของเรามีส่วนร่วมในปฏิกิริยาเคมีทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตัวเรา และมีอิทธิพลเหนือยีนส์ หรือพันธุกรรม

ร่างกายสามารถสร้างผลทางชีวเคมีใด ๆ ขึ้นได้ตามคำสั่งของจิตใจ โดยเฉพาะความตั้งใจที่จะบำบัดตนเอง ร่างกายสามารถเติมเต็มตัวเองโดยอัตโนมัติ ทำให้ร่างกายที่เจ็บป่วยกลับคืนสู่สภาวะสมดุลเป็นปกติได้เอง เราเพียงแต่เตรียมสภาพแวดล้อมที่พร้อมและเหมาะสมให้แก่ร่างกาย"

"เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสามารถควบคุมจิตใจให้อยู่ในความสงบนิ่ง ยอมรับว่าโลกนี้คือการเปลี่ยนแปลง และทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา ปล่อยให้ดำเนินชีวิตให้ลื่นไหลไปกับการเปลี่ยนแปลง เหมือนตัวเราเองเป็นส่วนหนึ่งของอากาศ ต้นไม้ ใบหญ้า สายลม และจักรวาล ก็จะไม่มีเรื่องใด ๆ มาทำให้เกิดความเครียดได้ เพราะทุกอย่างในโลกนั้นสามารถแก้ไขได้หมด"....

นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมบีมจึงแนะนำให้เพื่อน ๆ จินตนาการและบอกกับตัวเองในแง่บวกค่ะ

เวลาล้างหน้า เดี๋ยวนี้บีมจะจินตนาการว่า นิ้วนี้สัมผัสไปที่ใด ขอให้ผิวที่ั่นั้น สมบูรณ์สดใส ไม่มีสิว
เวลาทานข้าว บีมจะขอบคุณอาหารก่อน ที่ทำให้มีชีวิตอยู่จนวันนี้ และขณะเคี้ยวและกลืนก็จะจินตนาการพร้อมกับคุิดว่า อาหารนี้จะไปบำรุงเลี้ยงร่างกายของเรา อาหารนี้จะถูกย่อยจนละเอียดและเข้าไปในเซลล์ของเรา ให้พลังงานแก่เรา

เคยดูรายการอาจารย์คนหนึ่ง เห็นท่านบอกว่า จิตอยู่กลางกระหม่อม ...

ไม่รู้นะคะว่าจิตอยู่ไหนกันแน่

แต่ที่บีมเคยทดลองดู เวลาที่จินตนาการและกำหนดจิตไปที่กลางกระหม่อม ดูเหมือนภาพมันจะชัดเจน คำพูดเหมือนจะฝังลึกลงไปในจิตได้

และที่สำคัญ บีมจะจินตนาการทุกวันว่า ผิวของเราซ่อมแซมตัวเอง เอาเซลล์ดี ๆ ดันขึ้นมา ๆ ผลักเซลล์เสียออกไป หน้าใส อมชมพู

แม้วันนี้จะยังไม่ถึงขึ้นกิ๊งกั๊ง อมชมพู

แต่ถ้าเราจินตนาการ และถ้าร่างกายมีทรัพยากรพร้อม (อาหาร อากาศ น้ำ อารมณ์ และการพักผ่อนที่ดี) วันหนึ่งก็อาจจะเป็นเช่นนั้นได้ค่ะ ^^

เคยมีเคสนึง อ่านมาจากหนังสือเหมือนกัน

คุณหมอบำบัดคนไข้มะเร็ง

ไม่แน่ใจว่าใช้ยามั้ย แต่รู้สึกว่าจะเป็นแนวผสมผสาน ซึ่งตอนท้ายคนไข้รับคีโมไม่ไหวแล้ว จึงทดลองทำตามที่คุณหมอบอก คือ จินตนาการว่าเซลล์มะเร็งถูกยาที่ได้รับรุมฆ่า จู่โจมอย่างรุนแรงจนฝ่อ...

ระยะเวลาผ่านไป มาตรวจอีกที เซลล์มะเร็งนั้นก็ฝ่อจริง ๆ

บีมเลยคิดว่า มันเป็นเทคนิคที่น่าจะใช้ได้กับสิวด้วยนะคะ เลยเอามาแบ่งปันกัน ^^

ทานกลางวันให้อร่อยค่ะ ^^

ความคิดเห็น