บำบัดสิวแนวพุทธ
กว่าจะได้มานั่งเขียนบล็อก เล่นเอาเหนื่อยไป 2 วันเต็ม ๆ ค่ะ เพราะบีมปรับโครงสร้างบล็อกทั้งหมดใหม่ ได้แยกเอาเนื้อหาส่วนการทำบุญและผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายไปไว้ต่างหาก เพราะไม่อยากให้หัวข้อเหล่านี้มาอยู่ปนกันในบล็อกเดียว
จริง ๆ 2 วันที่ไม่ได้อัพบล็อกนี้ มีเรื่องอยากเขียนเยอะนะ แต่ถ้าเขียนหมด เดี๋ยวจะกลายเป็นไดอารี่ประจำวันไปซะ อิอิ บีมก็เลยเลือกเขียนหัวข้้อนี้ดีกว่า "บำบัดสิวแนวพุทธ"
เพราะบีมได้อ่านหนังสือที่คุณแม่พึ่งซื้อมาค่ะ ชื่อว่า "มหัศจรรย์พลังหยุดโรคร้ายด้วยตนเอง"
จริง ๆ แล้วอ่านยังไม่จบ แต่ตั้งแต่หน้าแรกที่เปิดอ่าน รวมทั้งบทนำ ก็รู้สึกประทับใจ
เพราะเป็นการอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ว่า ทำไมธรรมะหรือการสวดมนต์จึงทำให้โรคร้ายหายได้
คุณบุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี เป็นเคสที่หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึง เธอหายจากมะเร็งได้ด้วยพลังธรรมะ
นอกจากนี้ ยังมีเนื้อหาว่า การสวดมนต์โดยการเปล่งเสียงนั้น เป็นการบริหารหรือกระตุ้นอวัยวะต่าง ๆ ให้ทำงาน การออกเสียงที่แตกต่างกันจะบริหารอวัยวะที่แตกต่างกันไปค่ะ นอกจากนี้ การสวดมนต์ยังทำให้จิตระลึกถึงแต่สิ่งที่ดี อันจะนำให้จิตสงบและพลังในร่างกายสมดุล
พลังด้านลบ คือ กิเลส มี โลภ โกรธ หลง และมันเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายต่าง ๆ นั่นเอง
หากเราชำระล้างจิตใจให้สะอาดอยู่เสมอ ก็เหมือนกับที่เราทำ Detox ลำไส้ของเราทุกวันนั่นเองค่ะ
ใครไม่เคยสวดมนต์ นั่งสมาธิ หรืออยู่ักับธรรมชาติเลยนั้น อยู่คนเดียวไม่ได้ อุปมาเหมือนกับคนท้องผูก
นับวัน ๆ ยิ่งสะสม และ ระเบิดอารมณ์ออกมาไม่วันใดก็วันหนึ่ง
อารมณ์เหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อระบบทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย
หากเราสั่งสมแต่อารมณ์ดี ๆ สิ่งดี ๆ ร่างกายก็จะตอบสนองเราในทางที่ดี
ในทางตรงข้าม ถ้าหากเราสั่งสมแต่อารมณ์ลบ ๆ หรือไม่เคยกำจัดออก ไม่เคยอาบจิตใจเลย ร่างกายก็จะตอบสนองเราในทางที่ไม่ดีค่ะ
....หนังสือเล่มนี้ ทำให้บีมย้อนคิดไปถึงช่วงปีที่ผ่านมานี้....
ปีนี้เป็นปีที่บีมได้มีโอกาสอยู่บ้านอย่างเต็มที่หลังจาก 13 ปีที่ห่างบ้านเพื่อไปเรียนหนังสือและำทำงาน
บีมจำได้ว่า ตอนเด็ก ๆ คุณยายจะให้สวดมนต์ก่อนนอนทุกครั้ง และทุกวันหยุด พวกเราจะมีโอกาสได้ใส่บาตรหน้าบ้านตลอด วันสำคัญทางศาสนา ปีใหม่ สงกรานต์ ก็ได้ไปวัดไม่เคยขาด
แต่เมื่อก่อนไม่รู้ถึงความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ค่ะ ไม่เข้าใจ
รากฐานเราเลยไม่แข็งแรง ....
ตอนไปเรียนหนังสือ ก็ชอบเอาชนะ ชอบติด Top Ten ชอบเป็นที่หนึ่ง เห็นใครดีกว่าไม่ได้ ไม่เคยอนุโมทนา ไม่เคยยินดี แต่เราจะดีกับคนที่เค้าด้อยกว่าเรา ชอบช่วยเหลือคนด้อยกว่าในทุกรูปแบบ
ชอบแข่งขันมาก และแพ้ไม่เป็น...
ผลดี คือ ผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีมาก แต่ด้านอื่น ด้านอารมณ์ สังคมนั้น ติดลบอย่างแรง
ในจิตใจนั้น ก็มักจะมีแต่ความขุ่นเคือง ไม่พอใจ ไม่สบอารมณ์ ทุกคนต้องทำตามที่เราต้องการ ถ้าไม่ทำ เราจะโมโหมาก
แต่เริ่มดีขึ้นตอนเรียนมหาลัย เริ่มทำกิจกรรมมากขึ้น เริ่มรู้จักการแบ่งปัน แพ้ ชนะ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็มักจะชอบอิจฉาคนที่เด่นกว่า แต่ก็เริ่มข่มใจได้แล้ว
ตอนทำงาน ก็ยังติดนิสัยชอบเป็นที่หนึ่ง และ ไม่ค่อยเห็นใจคนอื่น
ผลงานดีเยี่ยม แต่ด้านอื่น ติดลบ (อีกแล้ว)
มานั่งพิจารณาดูแล้ว บีมได้สั่งสมอารมณ์ด้านลบมาตั้งแต่จำความได้ค่ะ จำได้ว่า อิจฉาน้องตั้งแต่เล็ก ๆ และจำได้ว่า อิจฉาเพื่อนผิวขาว หน้าตาน่ารักตั้งแต่เล็ก ๆ คือ เราไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่เลย
สิ่งที่เราทำได้ดีเพียงไม่กี่อย่างก็คือ เรียนเก่ง เล่นดนตรีได้ และเล่นกีฬาเก่ง
เราก็พยายามทำสิ่งเหล่านี้ให้ดี เพราะ มันคือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ภาคภูมิใจ และทำให้ครอบครัวภูมิใจด้วย
แต่็ก็ไม่เคยเห็นคุณค่าในตัวเอง
ต้องการให้ผู้อื่นมองเห็นและยอมรับตัวเรา
แต่ก็ยังไม่เคยรู้สึกพอใจในตัวเอง
จนเมื่อโตขึ้น และ มีโอกาสได้กลับมาอยู่บ้านแบบนี้
สภาพแวดล้อมที่ไม่แข่งขัน ผู้คนมีแต่รอยยิ้มที่จริงใจ ไม่รู้จักกันก็คุยกันได้ดี อากาศบริสุทธิ์ ได้มีโอกาสตอบแทนบุญคุณคุณยาย โดยการได้คอยดูแลท่านจนวาระสุดท้ายของชีวิต ได้มีีโอกาสตอบแทนคุณพ่อคุณแม่โดยการช่วยแบ่งเบาภาระงานที่บ้าน
บอกตามตรงนะคะ ตอนแรกบีมไม่รู้เหมือนกันว่าจะอยู่อย่างไรที่บ้าน เพราะไม่เคยอยู่มา 13 ปีนาน ๆ และทุกครั้งที่กลับมาเยี่ยมบ้าน ไม่เคยอยู่ถึง 2 เดือนก็จะเบื่อแล้วอยากกลับไปเมืองใหญ่ที่เราอยู่
ถ้าใครได้อ่านบทความที่ีนิตยสารซีเคร็ตคัดเลือกไปนั้น "แด่คุณยายผู้เป็นอัลไซเมอร์" นั่นล่ะค่ะ ความคิดของบีมเป็นแบบนั้น ต่อสู้กันตลอดเวลา อยากไปก็อยาก แต่ก็ทิ้งใครไม่ลงจริง ๆ
แต่พอมานั่งย้อนนึกไป...ในร้ายมีดี...มันกลับเป็นช่วงเวลาที่ทำให้บีมมีโอกาสได้สวดมนต์ยาว ๆ ได้นั่งสมาธิเพื่อเคลียร์ความคิดที่สับสนของตัวเอง
มันสับสนมากนะคะ สำหรับคนที่เคยทำงานมีเงินเดือนอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ และต้องกลับมาอยู่เมืองเล็ก ๆ โดยที่ยังไม่มีงานอะไรรองรับเลย
บีมอ่านหนังสือธรรมะจบไปจำนวนหนึ่ง ช่วงนั้นอ่านเยอะ เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน และมีอีกซึ่งจำชื่อไม่ได้ อ่านจนมองเห็นสัจธรรมหลาย ๆ ข้อและทำให้เราสงบมากขึ้นจากภายใน
การนั่งสมาธิของบีม การสวดมนต์ของบีมก็พัฒนาขึ้นไปได้อีก
จิตของบีมนิ่งขึ้นมาก และ ก็คิดบวก มองอะไรตามจริง อยู่กับความเป็นจริงได้อย่างมีความสุขมากขึ้น
และีบีมก็คิดว่า จิตใจที่เป็นกุศลและสงบมากขึ้น มีส่วนอย่างมากที่ทำให้บีมมีพลังในการบำบัดสิวแนวธรรมชาติแบบนี้ได้
เพราะการจะทำแบบนี้ได้ จะต้องรู้จักควบคุมตัวเอง ไม่ให้กิเลสหรือความอยากเข้าครอบงำ
บีมชอบที่หมอเขียวท่านเขียนมากค่ะ และจำได้จนทุกวันนี้
"เวลาที่เราฝึกรักษาตัวเองในแนวพุทธ เวลาที่เรากินอาหารอะไรก็ตามและฝึกจิตให้รู้ทัน เราก็จะเห็นว่า กิเลสของเรานั้นตัวใหญ่มากน้อยแค่ไหน ถ้าเรากินแบบหยุดไม่ได้ ควบคุมตัวเองไม่ได้ แสดงว่ากิเลสเราตัวใหญ่มาก"
พอบีมนึกขึ้นได้ทีไร เห็นกิเลสตัวใหญ่กำลังควบคุมเราให้กินอาหารอย่างไม่คิดอยู่ มันจะหยุดได้ทันทีค่ะ
เห็นตัวกิเลสปุ๊บ ก็หยุดปั๊บ
อย่างน้อยก็คือ หยุดคิด แล้วเลือกอย่างมีสติว่า
โอเค...มื้อนี้ขอตามใจปาก แต่ถ้าสิวขึ้น ต้องไม่โทษใครนะ มันเป็นผลจากตรงนี้เอง หรือว่า...
ไ่ม่เอาดีกว่า...ขี้เกียจล้างพิษอีก กินเข้าไปก็ทำร้ายร่างกาย สงสารเค้า...บีมก็จะหยุดกินได้
บางครั้ง เวลาเห็นอาหาร ก็จะพิจารณาก่อนค่ะว่า อืม อยากนะ...แต่ไม่เอาดีกว่า ก็เลยไม่กินไปซะเลยค่ะ
นอกจากในเรื่องของการฝึกสติกับการกินแล้ว
การที่เรามีโอกาสได้ชำระล้างกิเลส ความคิดขุ่นมัว ความสับสนให้ได้ทุกวัน จะทำให้จิตใจเราใสสะอาดขึ้น
จิตใจที่ใสสะอาดจะช่วยปรับสมดุลให้กับร่างกายได้อย่างมากมาย
นอกจากนี้ บีมยังอยากจะแนะนำให้เพื่อน ๆ กตัญญูต่อคุณพ่อคุณแม่ ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ และสรรพสิ่งให้มาก ๆ
วันไหนถ้าีบีมไม่ได้สวดมนต์ อย่างน้อยบีมจะกราบหมอน 4 ครั้ง ครั้งแรกนึกถึงคุณพระพุทธ ครั้งที่สองคุณพระธรรม ครั้งที่สามคุณพระสงฆ์ และครั้งที่สี่ คุณของพ่อแม่ ทั้งชาตินี้และอดีตชาติ ครูอาจารย์ เทวดาประจำตัว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองเราและสรรพสิ่งที่ทำให้เราได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มีชีิวิตที่ดีแบบนี้ และขอขอบคุณที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่เพื่อทำความดีอีก 1 วัน
ให้แผ่เมตตาให้มาก ๆ
ย้อนนึกไปว่า เราผูกใจเจ็บกับใคร แล้วแก้ปมนั้นซะ ด้วยการกล่าวบทแผ่เมตตาให้คนนั้นโดยตรง
ครั้งแรกที่เราจับความรู้สึกเจ็บปวดนั้นได้ มันจะเจ็บปวด เจ็บจี๊ด ๆ อยู่ข้างใน ให้เราพิจารณามันให้ดี ว่าเราโกรธ เกลียด เจ็บเพราะอะไร แล้วมองให้เห็นตามจริงว่า ไม่มีใครเกิดมา perfect ทุกคนทำผิดได้ทั้งสิ้น เราเองก็เคยทำผิด เราเองก็เคยทำให้คนโกรธ คนเกลีียดมานับครั้งไ่ม่ถ้วน อภัยให้เค้าไปเถิด ขอให้เค้ามีความสุขมาก ๆ
ครั้งแรก เราอาจจะยังอภัยให้เค้าไม่หมด แต่ขอให้ทำไปเรื่อย ๆ ทำไปทุกวัน หรือบ่อย ๆ จนกว่าเราจะไม่รู้สึกผูกใจเจ็บกับเขาแล้ว
นอกจากนี้ ก็ให้อธิษฐานว่า เราเอง ไม่ขอผูกใจเจ็บกับใคร ใครเคยก่อกรรมอะไรไว้กับเรา เราจะไม่ขอเอาคืน ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ขอให้เวรกรรมเลิกแล้วต่อกันไป แยกย้ายกันไปมีความสุขว่างั้นค่ะ
ด้านร่างกาย เราอาจจะทำได้ดีแล้ว ...
อีกเรื่องที่จะเป็นปัจจัยให้โรคภัยไข้เจ็บหาย ก็คงเป็นพระธรรมนี่ล่ะค่ะ
หรือถ้าเพื่อนคนไหนนับถือศาสนาอื่น ก็ขอให้เข้าถึงแก่นของศาสนาและปฏิบัติไปตามนั้นค่ะ :-)
ขอให้ทุกคนมีสุขภาพกายและใจที่ดี ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงด้วยเถิด...
สุดท้ายนี้ ขอฝากกิจกรรมดี ๆ ต้อนรับปีใหม่ โดยนำมาจากนิตยสาร Secret ฉบับที่ 26 ธันวาคม 2552 หน้าปกเป็นรูปคุณต๋อย ไตรภพ ค่ะ
จริง ๆ 2 วันที่ไม่ได้อัพบล็อกนี้ มีเรื่องอยากเขียนเยอะนะ แต่ถ้าเขียนหมด เดี๋ยวจะกลายเป็นไดอารี่ประจำวันไปซะ อิอิ บีมก็เลยเลือกเขียนหัวข้้อนี้ดีกว่า "บำบัดสิวแนวพุทธ"
เพราะบีมได้อ่านหนังสือที่คุณแม่พึ่งซื้อมาค่ะ ชื่อว่า "มหัศจรรย์พลังหยุดโรคร้ายด้วยตนเอง"
จริง ๆ แล้วอ่านยังไม่จบ แต่ตั้งแต่หน้าแรกที่เปิดอ่าน รวมทั้งบทนำ ก็รู้สึกประทับใจ
เพราะเป็นการอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ว่า ทำไมธรรมะหรือการสวดมนต์จึงทำให้โรคร้ายหายได้
คุณบุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี เป็นเคสที่หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึง เธอหายจากมะเร็งได้ด้วยพลังธรรมะ
นอกจากนี้ ยังมีเนื้อหาว่า การสวดมนต์โดยการเปล่งเสียงนั้น เป็นการบริหารหรือกระตุ้นอวัยวะต่าง ๆ ให้ทำงาน การออกเสียงที่แตกต่างกันจะบริหารอวัยวะที่แตกต่างกันไปค่ะ นอกจากนี้ การสวดมนต์ยังทำให้จิตระลึกถึงแต่สิ่งที่ดี อันจะนำให้จิตสงบและพลังในร่างกายสมดุล
พลังด้านลบ คือ กิเลส มี โลภ โกรธ หลง และมันเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายต่าง ๆ นั่นเอง
หากเราชำระล้างจิตใจให้สะอาดอยู่เสมอ ก็เหมือนกับที่เราทำ Detox ลำไส้ของเราทุกวันนั่นเองค่ะ
ใครไม่เคยสวดมนต์ นั่งสมาธิ หรืออยู่ักับธรรมชาติเลยนั้น อยู่คนเดียวไม่ได้ อุปมาเหมือนกับคนท้องผูก
นับวัน ๆ ยิ่งสะสม และ ระเบิดอารมณ์ออกมาไม่วันใดก็วันหนึ่ง
อารมณ์เหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อระบบทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย
หากเราสั่งสมแต่อารมณ์ดี ๆ สิ่งดี ๆ ร่างกายก็จะตอบสนองเราในทางที่ดี
ในทางตรงข้าม ถ้าหากเราสั่งสมแต่อารมณ์ลบ ๆ หรือไม่เคยกำจัดออก ไม่เคยอาบจิตใจเลย ร่างกายก็จะตอบสนองเราในทางที่ไม่ดีค่ะ
....หนังสือเล่มนี้ ทำให้บีมย้อนคิดไปถึงช่วงปีที่ผ่านมานี้....
ปีนี้เป็นปีที่บีมได้มีโอกาสอยู่บ้านอย่างเต็มที่หลังจาก 13 ปีที่ห่างบ้านเพื่อไปเรียนหนังสือและำทำงาน
บีมจำได้ว่า ตอนเด็ก ๆ คุณยายจะให้สวดมนต์ก่อนนอนทุกครั้ง และทุกวันหยุด พวกเราจะมีโอกาสได้ใส่บาตรหน้าบ้านตลอด วันสำคัญทางศาสนา ปีใหม่ สงกรานต์ ก็ได้ไปวัดไม่เคยขาด
แต่เมื่อก่อนไม่รู้ถึงความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ค่ะ ไม่เข้าใจ
รากฐานเราเลยไม่แข็งแรง ....
ตอนไปเรียนหนังสือ ก็ชอบเอาชนะ ชอบติด Top Ten ชอบเป็นที่หนึ่ง เห็นใครดีกว่าไม่ได้ ไม่เคยอนุโมทนา ไม่เคยยินดี แต่เราจะดีกับคนที่เค้าด้อยกว่าเรา ชอบช่วยเหลือคนด้อยกว่าในทุกรูปแบบ
ชอบแข่งขันมาก และแพ้ไม่เป็น...
ผลดี คือ ผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีมาก แต่ด้านอื่น ด้านอารมณ์ สังคมนั้น ติดลบอย่างแรง
ในจิตใจนั้น ก็มักจะมีแต่ความขุ่นเคือง ไม่พอใจ ไม่สบอารมณ์ ทุกคนต้องทำตามที่เราต้องการ ถ้าไม่ทำ เราจะโมโหมาก
แต่เริ่มดีขึ้นตอนเรียนมหาลัย เริ่มทำกิจกรรมมากขึ้น เริ่มรู้จักการแบ่งปัน แพ้ ชนะ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็มักจะชอบอิจฉาคนที่เด่นกว่า แต่ก็เริ่มข่มใจได้แล้ว
ตอนทำงาน ก็ยังติดนิสัยชอบเป็นที่หนึ่ง และ ไม่ค่อยเห็นใจคนอื่น
ผลงานดีเยี่ยม แต่ด้านอื่น ติดลบ (อีกแล้ว)
มานั่งพิจารณาดูแล้ว บีมได้สั่งสมอารมณ์ด้านลบมาตั้งแต่จำความได้ค่ะ จำได้ว่า อิจฉาน้องตั้งแต่เล็ก ๆ และจำได้ว่า อิจฉาเพื่อนผิวขาว หน้าตาน่ารักตั้งแต่เล็ก ๆ คือ เราไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่เลย
สิ่งที่เราทำได้ดีเพียงไม่กี่อย่างก็คือ เรียนเก่ง เล่นดนตรีได้ และเล่นกีฬาเก่ง
เราก็พยายามทำสิ่งเหล่านี้ให้ดี เพราะ มันคือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ภาคภูมิใจ และทำให้ครอบครัวภูมิใจด้วย
แต่็ก็ไม่เคยเห็นคุณค่าในตัวเอง
ต้องการให้ผู้อื่นมองเห็นและยอมรับตัวเรา
แต่ก็ยังไม่เคยรู้สึกพอใจในตัวเอง
จนเมื่อโตขึ้น และ มีโอกาสได้กลับมาอยู่บ้านแบบนี้
สภาพแวดล้อมที่ไม่แข่งขัน ผู้คนมีแต่รอยยิ้มที่จริงใจ ไม่รู้จักกันก็คุยกันได้ดี อากาศบริสุทธิ์ ได้มีโอกาสตอบแทนบุญคุณคุณยาย โดยการได้คอยดูแลท่านจนวาระสุดท้ายของชีวิต ได้มีีโอกาสตอบแทนคุณพ่อคุณแม่โดยการช่วยแบ่งเบาภาระงานที่บ้าน
บอกตามตรงนะคะ ตอนแรกบีมไม่รู้เหมือนกันว่าจะอยู่อย่างไรที่บ้าน เพราะไม่เคยอยู่มา 13 ปีนาน ๆ และทุกครั้งที่กลับมาเยี่ยมบ้าน ไม่เคยอยู่ถึง 2 เดือนก็จะเบื่อแล้วอยากกลับไปเมืองใหญ่ที่เราอยู่
ถ้าใครได้อ่านบทความที่ีนิตยสารซีเคร็ตคัดเลือกไปนั้น "แด่คุณยายผู้เป็นอัลไซเมอร์" นั่นล่ะค่ะ ความคิดของบีมเป็นแบบนั้น ต่อสู้กันตลอดเวลา อยากไปก็อยาก แต่ก็ทิ้งใครไม่ลงจริง ๆ
แต่พอมานั่งย้อนนึกไป...ในร้ายมีดี...มันกลับเป็นช่วงเวลาที่ทำให้บีมมีโอกาสได้สวดมนต์ยาว ๆ ได้นั่งสมาธิเพื่อเคลียร์ความคิดที่สับสนของตัวเอง
มันสับสนมากนะคะ สำหรับคนที่เคยทำงานมีเงินเดือนอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ และต้องกลับมาอยู่เมืองเล็ก ๆ โดยที่ยังไม่มีงานอะไรรองรับเลย
บีมอ่านหนังสือธรรมะจบไปจำนวนหนึ่ง ช่วงนั้นอ่านเยอะ เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน และมีอีกซึ่งจำชื่อไม่ได้ อ่านจนมองเห็นสัจธรรมหลาย ๆ ข้อและทำให้เราสงบมากขึ้นจากภายใน
การนั่งสมาธิของบีม การสวดมนต์ของบีมก็พัฒนาขึ้นไปได้อีก
จิตของบีมนิ่งขึ้นมาก และ ก็คิดบวก มองอะไรตามจริง อยู่กับความเป็นจริงได้อย่างมีความสุขมากขึ้น
และีบีมก็คิดว่า จิตใจที่เป็นกุศลและสงบมากขึ้น มีส่วนอย่างมากที่ทำให้บีมมีพลังในการบำบัดสิวแนวธรรมชาติแบบนี้ได้
เพราะการจะทำแบบนี้ได้ จะต้องรู้จักควบคุมตัวเอง ไม่ให้กิเลสหรือความอยากเข้าครอบงำ
บีมชอบที่หมอเขียวท่านเขียนมากค่ะ และจำได้จนทุกวันนี้
"เวลาที่เราฝึกรักษาตัวเองในแนวพุทธ เวลาที่เรากินอาหารอะไรก็ตามและฝึกจิตให้รู้ทัน เราก็จะเห็นว่า กิเลสของเรานั้นตัวใหญ่มากน้อยแค่ไหน ถ้าเรากินแบบหยุดไม่ได้ ควบคุมตัวเองไม่ได้ แสดงว่ากิเลสเราตัวใหญ่มาก"
พอบีมนึกขึ้นได้ทีไร เห็นกิเลสตัวใหญ่กำลังควบคุมเราให้กินอาหารอย่างไม่คิดอยู่ มันจะหยุดได้ทันทีค่ะ
เห็นตัวกิเลสปุ๊บ ก็หยุดปั๊บ
อย่างน้อยก็คือ หยุดคิด แล้วเลือกอย่างมีสติว่า
โอเค...มื้อนี้ขอตามใจปาก แต่ถ้าสิวขึ้น ต้องไม่โทษใครนะ มันเป็นผลจากตรงนี้เอง หรือว่า...
ไ่ม่เอาดีกว่า...ขี้เกียจล้างพิษอีก กินเข้าไปก็ทำร้ายร่างกาย สงสารเค้า...บีมก็จะหยุดกินได้
บางครั้ง เวลาเห็นอาหาร ก็จะพิจารณาก่อนค่ะว่า อืม อยากนะ...แต่ไม่เอาดีกว่า ก็เลยไม่กินไปซะเลยค่ะ
นอกจากในเรื่องของการฝึกสติกับการกินแล้ว
การที่เรามีโอกาสได้ชำระล้างกิเลส ความคิดขุ่นมัว ความสับสนให้ได้ทุกวัน จะทำให้จิตใจเราใสสะอาดขึ้น
จิตใจที่ใสสะอาดจะช่วยปรับสมดุลให้กับร่างกายได้อย่างมากมาย
นอกจากนี้ บีมยังอยากจะแนะนำให้เพื่อน ๆ กตัญญูต่อคุณพ่อคุณแม่ ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ และสรรพสิ่งให้มาก ๆ
วันไหนถ้าีบีมไม่ได้สวดมนต์ อย่างน้อยบีมจะกราบหมอน 4 ครั้ง ครั้งแรกนึกถึงคุณพระพุทธ ครั้งที่สองคุณพระธรรม ครั้งที่สามคุณพระสงฆ์ และครั้งที่สี่ คุณของพ่อแม่ ทั้งชาตินี้และอดีตชาติ ครูอาจารย์ เทวดาประจำตัว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองเราและสรรพสิ่งที่ทำให้เราได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มีชีิวิตที่ดีแบบนี้ และขอขอบคุณที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่เพื่อทำความดีอีก 1 วัน
ให้แผ่เมตตาให้มาก ๆ
ย้อนนึกไปว่า เราผูกใจเจ็บกับใคร แล้วแก้ปมนั้นซะ ด้วยการกล่าวบทแผ่เมตตาให้คนนั้นโดยตรง
ครั้งแรกที่เราจับความรู้สึกเจ็บปวดนั้นได้ มันจะเจ็บปวด เจ็บจี๊ด ๆ อยู่ข้างใน ให้เราพิจารณามันให้ดี ว่าเราโกรธ เกลียด เจ็บเพราะอะไร แล้วมองให้เห็นตามจริงว่า ไม่มีใครเกิดมา perfect ทุกคนทำผิดได้ทั้งสิ้น เราเองก็เคยทำผิด เราเองก็เคยทำให้คนโกรธ คนเกลีียดมานับครั้งไ่ม่ถ้วน อภัยให้เค้าไปเถิด ขอให้เค้ามีความสุขมาก ๆ
ครั้งแรก เราอาจจะยังอภัยให้เค้าไม่หมด แต่ขอให้ทำไปเรื่อย ๆ ทำไปทุกวัน หรือบ่อย ๆ จนกว่าเราจะไม่รู้สึกผูกใจเจ็บกับเขาแล้ว
นอกจากนี้ ก็ให้อธิษฐานว่า เราเอง ไม่ขอผูกใจเจ็บกับใคร ใครเคยก่อกรรมอะไรไว้กับเรา เราจะไม่ขอเอาคืน ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ขอให้เวรกรรมเลิกแล้วต่อกันไป แยกย้ายกันไปมีความสุขว่างั้นค่ะ
ด้านร่างกาย เราอาจจะทำได้ดีแล้ว ...
อีกเรื่องที่จะเป็นปัจจัยให้โรคภัยไข้เจ็บหาย ก็คงเป็นพระธรรมนี่ล่ะค่ะ
หรือถ้าเพื่อนคนไหนนับถือศาสนาอื่น ก็ขอให้เข้าถึงแก่นของศาสนาและปฏิบัติไปตามนั้นค่ะ :-)
ขอให้ทุกคนมีสุขภาพกายและใจที่ดี ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงด้วยเถิด...
สุดท้ายนี้ ขอฝากกิจกรรมดี ๆ ต้อนรับปีใหม่ โดยนำมาจากนิตยสาร Secret ฉบับที่ 26 ธันวาคม 2552 หน้าปกเป็นรูปคุณต๋อย ไตรภพ ค่ะ
- 30 ธ.ค. - 3 ม.ค. เสถียรธรรมสถานเชิญร่วมปฏิับัติธรรมข้ามปี 0-2509-0085 หรือ 0-2510-6697
- 31 ธ.ค. ร่วมถวายความอบอุ่นด้วยการก่อกองไฟและปรุงอาหารร้อน ๆ ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ใน "บุญปีใหม่ ประเพณีให้ทานไฟ" ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช 0-7634-6515-6
- 1 ม.ค. ทำบุญตักบาตรวันปีใหม่ ณ เสถียรธรรมสถาน เวลา 4.30 น.
- 7-13 ม.ค. ค่ายอบรมสุขภาพวิถีพุทธตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง โดยหมอเขียว ใจเพชร กล้าจน ที่สถาบันฝึกอบรมโรงเรียนผู้นำ อ.เมือง จ.กาญฯ เสียค่าใช้จ่ายด้วยการบริจาคตามกำลังศรัทธา โทร 08-9452-0059, 0-2934-4414 ต่อ 208-210
ความคิดเห็น