คิดและตามให้ทันข่าว: แพทย์ใหญ่เตือน แห่บำรุงอาหารเสริม กินวิตามินบินหามะเร็ง
บีมขอใช้พื้นที่นี้ในการวิจารณ์ข่าวสักเล็กน้อยนะคะ เพราะเห็นว่าเป็นประเด็นที่อ่อนไหวอยู่เหมือนกันสำหรับวงการสุขภาพ
บีมอ่าน Twitter เมื่อกี๊และเจอหัวข้อข่าว แพทย์ใหญ่เตือน แห่บำรุงอาหารเสริม กินวิตามินบินหามะเร็ง
ก็เลยเปิดเข้าไปดูค่ะ เพราะตอนนี้บีมกำลังศึกษาและทดลองเรื่องนี้อยู่ ก็เลยอยากจะอ่านข้อมูลทั้งด้านบวกและลบค่ะ จะได้เห็นภาพรวมค่ะ เป็นไปตามหลักกาลามสูตรค่ะ อย่าเชื่อจนกว่าจะตรัสรู้ด้วยตัวเอง อิอิ
ขอใช้วิชา "วิเคราะห์วิจารณ์ข่าว" เมื่อสมัยตอนเรียนมัธยมที่คุณครูให้ััตัดข่าวมาแล้วเอามาเขียนวิเคราะห์นะคะ ^^
ซึ่งความเห็นของบีมไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไปค่ะ แต่เพื่อให้เกิดการคิดต่อสำหรับคนที่ได้เข้ามาอ่าน เป็นการกระตุ้นต่อมคิดของคนอื่นต่อไป ว่างั้น
และจะทำให้เรารู้จักมองตัวหนังสือให้ดีก่อนเชื่อด้วยนะคะ
นักวิจัย กองทุนมะเร็งโลก เผลงานวิจัยพบว่า ในบางคนหากการกินวิตามินมากเกินไป อาจจะเท่ากับทำร้ายตนเอง เพราะทำให้เสี่ยงกับมะเร็งบางอย่างมากขึ้น...
บีมเขียนวิเคราะห์ใต้ย่อหน้าแต่ละย่อหน้านะคะ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญชั้น นำกล่าวเตือนว่า การกินวิตามินเพื่อบำรุงร่างกาย ไม่ได้ช่วยปัดเป่าโรคภัยอันใดเลย ตรงกันข้ามอาจทำให้เฉียดเฉี่ยวกับมะเร็งหนักขึ้นด้วยซ้ำ
ความเห็นของบีม ---> ถ้าไม่ช่วยปัดเป่าโรคภัยอันใดเลย
แ้ล้วเคสของเภสัชกรวิโรจน์ สุ่มใหญ่ ผู้เข้ารับการรักษาโรคสตีเวนส์-จอห์นสัน ซินโดรม และการแพ้ยาโอมีพราโซลอย่างรุนแรง จากสถาบัน DZFA (สถาบันวิจัยเกี่ยวกับการชราภาพแห่งเยอรมนี) ด้วยการปฏิบัติตัวตามแนวสุขภาพพร้อมทั้งการให้วิตามินและอาหารเสริมในปริมาณสูงจนท่านหายดีและหนุ่มขึ้นอีกต่างหาก หมายถึงอะไรคะ
ส่วนการที่จะเฉียดเฉี่ยวมะเร็งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่า คุณกินวิตามินและอาหารเสริมได้ถูกวิธีรึเปล่าเท่านั้นเองค่ะ ซึ่งบีมเข้าใจว่าที่เมืองนอกเค้าจะมีนักโภชนบำบัดเป็นเรื่องเป็นราวเลย และเค้าจะแนะนำได้ว่า สภาพร่างกายคุณเป็นแบบนี้ มีโรคแบบนี้ ต้องกินวิตามินอะไรบ้าง ขนาดเท่าไหร่ ไ่ม่ได้กินแบบปราศจากคำแนะนำเหมือนบ้านเราค่ะ ดังนั้น ไม่ใช่ว่ากินวิตามินแล้วจะเป็นมะเร็ง ไม่งั้นเภสัชกรท่านนี้คงไ่ม่หาย แต่การกินไม่ถูกวิธีและไม่ได้สร้างสุขภาพต่างหากล่ะ ที่จะทำให้มีความเสี่ยงของมะเร็งค่ะ
ศาสตราจารย์ มาร์ติน ไวส์แมน ที่ปรึกษาทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ ของกองทุนวิจัยโรคมะเร็งโลก บอกชี้ว่า ผู้ที่ชอบกินวิตามินและเกลือแร่เสริม แทนที่จะคอยกินอาหารให้ถูกส่วน นับว่ายิ่งเสี่ยงหนัก
อันนี้บีมเห็นด้วยค่ะ จากประสบการณ์ที่เคยทำ MLM มาสักพัก (นานมาแล้วค่ะ) พบว่า คนทำงานประเภทนี้จะไม่ค่อยทานข้าว ไม่ทานอะไรให้ถูกสุขลักษณะ ไม่ค่อยสร้างสุขภาพ แต่จะใช้อาหารเสริมกับวิตามินกินต่างข้าวเท่านั้นเอง ซึ่งหลาย ๆ คนก็เข้าใจว่าถ้ากินอาหารเสริมหรือวิตามินแล้วจะหายจากโรคนั้นโรคนี้เหมือนกับกินยา จริง ๆ แล้วชื่อบอกว่าอาหารเสริมนะคะ เราจึงต้องบำรุงตัวเองด้วยการสร้างสุขภาพในแนวทางที่บีมแนะนำก่อน แล้วค่อยเสริมในตัวที่เราขาด เช่นว่า ในพื้นที่นั้น เราหาพวกวิตามินนี้ในผักผลไม้ไม่ค่อยได้ ก็ค่อยทานเสริม หรือมีอาการสิวรุนแรง สร้างสุขภาพมาได้สักพักแต่ไม่หายขาด ก็เพิ่มวิตามินเข้าไปค่ะ ไม่ได้ให้กินเป็นอาหารหลัก
หนังสือพิมพ์รายวัน "เดอะ เดลี่ เอกซเปรสส์" ของอังกฤษ รายงานว่า ดร.มาร์ตินกล่าวต่อไปว่า คนหลายคนเชื่อว่า การกินอาหารเสริมต่างๆ จะช่วยให้พ้นภัยของมะเร็งได้ แต่ไม่ปรากฏมีหลักฐานยืนยันเลย ไม่ใช่คิดว่าการกินพวกอาหารเสริมในรูปเม็ดต่างๆ ร่างกายจะได้คุณประโยชน์เท่ากับการกินอาหาร ที่ให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ป้องกันมะเร็งระดับสูง ซึ่งที่จริงแล้ว การกินสารอาหารรองเหล่านี้ในปริมาณสูง เป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาอะไรได้และเป็นภัยต่อสุขภาพด้วย โดยเฉพาะวิตามิน เอกับอี อาจทำให้เจ็บป่วยลงได้จริง
เราจะพ้นภัยมะเร็งได้ก็ต่อเมื่อเราสร้างองค์ประกอบสุขภาพทั้ง 6 ขึ้นมาให้ได้ก่อนค่ะ ไม่ใช่การอาหารเสริมเป็นข้าว
ถ้าหากเป็นแต่ก่อนที่บีมยังไม่รู้จักการกินอาหารที่มีประโยชน์แบบนี้ บีมคงเข้าใจว่า คำว่า "อาหาร" ที่ดร.นี้พูดถึงคือการกินอะไรที่เรากินทุกวันนั่นแหละ (เบเกอรี่ให้คาร์โบไฮเดรต, น้ำชาเขียวบรรจุขวดให้สารต้านอนุมูลอิสระ, ต้มยำเผ็ด ๆ ทำให้ขับพิษ ฯลฯ)
ซึ่งจริง ๆ แล้ว สิ่งที่เรียกว่าอาหาร หมายถึง สิ่งที่กินเข้าไปต้องให้ประโยชน์แก่ร่างกาย ดังนั้น อะไรที่ให้โทษ เช่นของหวานๆ น้ำอัดลม แป้งแปรรูปที่ไม่ให้ประโยชน์กับร่างกายซ้ำยังเป็นโทษ ไม่น่าจะเรียกว่าอาหารได้ค่ะ แต่คนเรากินกันจนติดและเข้าใจว่า อาหารคือทุกอย่างที่เอาเข้าปากได้และทำให้หายหิว
ซึ่งอาหารที่เป็นอาหารจริง ๆ จะช่วยป้องกันมะเร็งได้ตลอดชีวิตแน่นอนค่ะ มันขึ้นอยู่กับว่าเราเข้าใจคำว่าอาหารมากแค่ไหน
และที่กล่าวว่าวิตามิน ถ้าหากบริโภคในระดับสูงและไม่ได้สัดส่วนกับวิตามินตัวอื่น หรือกับอาหารที่กิน ก็ทำใ้ห้เกิดโทษแน่นอนค่ะ และการระคายเคืองเนื้อเยื่อด้วยการทานวิตามินไม่ถูกส่วนก็ทำให้เสี่ยงต่อมะเร็งหรือโรคอื่น ๆ แน่ ๆ ค่ะ
วิตามินเอกับอี เป็นวิตามินที่สะสมในร่างกายได้ คำว่าสะสมคือ ถ้าหากทานเข้าไป จะไม่ถูกขับออกไปหากมีส่วนเกินมา แต่จะถูกเก็บไว้ในเนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งร่างกายจะนำเอาออกมาใช้ได้ก็ต่อเมื่อร่างกายขาดสารตัวนี้ (ร่างกายเราฉลาดค่ะ เค้ารู้เองว่าเมื่อไหร่ขาด ก็จะไปดึงออกมา และถ้าหมดแล้ว เค้าจะส่งสัญญาณบอกเราเอง เราก็ต้องรู้จักสังเกตอาการของร่างกายด้วย) ซึ่งถ้าสมมติว่า่ เค้ากำหนดให้กินวิตามินเอเพียงวันละ 10,000 IU แต่เรากิน 25,000 IU มันจะเกินมา 5,000 IU ส่วนนี้จะถูกเก็บสะสมเอาไว้
ดังนั้น วันต่อมาเราก็ไม่จำเป็นต้องกินวิตามินเอก็ได้ค่ะ ก็ให้กินพวกฟักทอง หรือผักผลไม้สีเหลืองส้มแทน ก็จะได้รับวิตามิน เอ ทบกับเมื่อวานอย่างเีพียงพอ
ซึ่งถ้าหากกินเยอะไป มันจะอัดแน่นสะสมในเนื้อเยื่อไขมันเรื่อย ๆ และขัดขวางการทำงานของเซลล์ร่างกายได้ในที่สุด ทำให้ป่วยค่ะ
เขาวิจารณ์การกินวิตามินในปริมาณ มากเกินไปว่า คนบางคนอาจจะเท่ากับทำร้ายตนเอง เคยมีการศึกษาแสดงผลว่า การกินอาหารเสริมในปริมาณสูง อาจจะยิ่งทำให้เสี่ยงกับมะเร็งบางอย่างมากขึ้น โดยมีหลักฐานที่เชื่อมั่นได้ว่า คอยาที่กินอาหารเสริมที่มีเบตา-แคโรทีนมากเกินไป จะยิ่งเสี่ยงกับมะเร็งปอดหนัก.
เหตุผลเหมือนข้างบนที่อธิบายไปแล้วค่ะ
ซึ่งบีมต้องบอกเพื่อน ๆ อีกครั้งว่า การแพทย์มี 2 กระแส คือ กระแสหลัก กับ กระแสรอง
กระแสหลัก จำไว้ว่า จะเกี่ยวข้องกับยา และการรักษามักจะหายเร็ว แต่ต้องพึ่งยาและหมอเรื่อย ๆ
กระแสรอง จำไว้ว่า จะเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ อาหาร การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม วิตามิน อาหารเสริม ฝังเข็ม ฯลฯ มักหายช้าแต่หายขาด
กระแสรวม เป็นคำที่บีมคิดขึ้นเอง บัญญัติเองเพื่ออธิบายถึง แพทย์ที่ใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน ซึ่งตอนนี้มีเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ และมีแนวโน้มมาใช้แนวธรรมชาติบำบัดมากขึ้น (ในต่างประเทศการเรียนในสาขาวิชานี้และอาชีพในสาขานี้กำลังบูมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่บ้านเรายังมีไม่กี่ที่ ต่างประเทศเรียก Naturopathy ซึ่งบีมกำลังสนใจที่จะเรียนค่ะ ดูอยู่ว่าจะต้องมีปริญญาด้านสุขภาพมั้ย ก็กำลังเช็คข้อมูลอยู่)
ซึ่งงานด้านวิชาการหรืองานวิจัยที่ออกมาจะแบ่งได้ตามนี้ ต้องดูว่านักวิจัยกลุ่มนั้นเค้าอยู่ในกระแสไหน
เพราะรู้สึกเค้าจะมีงานวิจัยออกมาขัดกันเกือบตลอดค่ะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสหลักที่บีมได้อ่านมาว่า งานวิจัยต่างๆ มักได้รับเงินทุนสนับสนุนจากบริษัทยาใหญ่ ๆ ซึ่งกำลังเสียผลประโยชน์จากการที่คนหันมาดูแลสุขภาพด้วยแนวธรรมชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงมักจะโจมตีหรือใช้งานวิจัยปกป้องยาของตัวเองอยู่เสมอ
ก็ใช้ปัญญาที่มีอยู่พิจารณาดูตามนี้นะคะ
ถ้าบีมเข้าใจผิดก็ต้องขออภัย มา ณ ที่นี้ และโปรดชี้แจงค่ะ ^^
บีมอ่าน Twitter เมื่อกี๊และเจอหัวข้อข่าว แพทย์ใหญ่เตือน แห่บำรุงอาหารเสริม กินวิตามินบินหามะเร็ง
ก็เลยเปิดเข้าไปดูค่ะ เพราะตอนนี้บีมกำลังศึกษาและทดลองเรื่องนี้อยู่ ก็เลยอยากจะอ่านข้อมูลทั้งด้านบวกและลบค่ะ จะได้เห็นภาพรวมค่ะ เป็นไปตามหลักกาลามสูตรค่ะ อย่าเชื่อจนกว่าจะตรัสรู้ด้วยตัวเอง อิอิ
ขอใช้วิชา "วิเคราะห์วิจารณ์ข่าว" เมื่อสมัยตอนเรียนมัธยมที่คุณครูให้ััตัดข่าวมาแล้วเอามาเขียนวิเคราะห์นะคะ ^^
ซึ่งความเห็นของบีมไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไปค่ะ แต่เพื่อให้เกิดการคิดต่อสำหรับคนที่ได้เข้ามาอ่าน เป็นการกระตุ้นต่อมคิดของคนอื่นต่อไป ว่างั้น
และจะทำให้เรารู้จักมองตัวหนังสือให้ดีก่อนเชื่อด้วยนะคะ
นักวิจัย กองทุนมะเร็งโลก เผลงานวิจัยพบว่า ในบางคนหากการกินวิตามินมากเกินไป อาจจะเท่ากับทำร้ายตนเอง เพราะทำให้เสี่ยงกับมะเร็งบางอย่างมากขึ้น...
บีมเขียนวิเคราะห์ใต้ย่อหน้าแต่ละย่อหน้านะคะ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญชั้น นำกล่าวเตือนว่า การกินวิตามินเพื่อบำรุงร่างกาย ไม่ได้ช่วยปัดเป่าโรคภัยอันใดเลย ตรงกันข้ามอาจทำให้เฉียดเฉี่ยวกับมะเร็งหนักขึ้นด้วยซ้ำ
ความเห็นของบีม ---> ถ้าไม่ช่วยปัดเป่าโรคภัยอันใดเลย
แ้ล้วเคสของเภสัชกรวิโรจน์ สุ่มใหญ่ ผู้เข้ารับการรักษาโรคสตีเวนส์-จอห์นสัน ซินโดรม และการแพ้ยาโอมีพราโซลอย่างรุนแรง จากสถาบัน DZFA (สถาบันวิจัยเกี่ยวกับการชราภาพแห่งเยอรมนี) ด้วยการปฏิบัติตัวตามแนวสุขภาพพร้อมทั้งการให้วิตามินและอาหารเสริมในปริมาณสูงจนท่านหายดีและหนุ่มขึ้นอีกต่างหาก หมายถึงอะไรคะ
ส่วนการที่จะเฉียดเฉี่ยวมะเร็งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่า คุณกินวิตามินและอาหารเสริมได้ถูกวิธีรึเปล่าเท่านั้นเองค่ะ ซึ่งบีมเข้าใจว่าที่เมืองนอกเค้าจะมีนักโภชนบำบัดเป็นเรื่องเป็นราวเลย และเค้าจะแนะนำได้ว่า สภาพร่างกายคุณเป็นแบบนี้ มีโรคแบบนี้ ต้องกินวิตามินอะไรบ้าง ขนาดเท่าไหร่ ไ่ม่ได้กินแบบปราศจากคำแนะนำเหมือนบ้านเราค่ะ ดังนั้น ไม่ใช่ว่ากินวิตามินแล้วจะเป็นมะเร็ง ไม่งั้นเภสัชกรท่านนี้คงไ่ม่หาย แต่การกินไม่ถูกวิธีและไม่ได้สร้างสุขภาพต่างหากล่ะ ที่จะทำให้มีความเสี่ยงของมะเร็งค่ะ
ศาสตราจารย์ มาร์ติน ไวส์แมน ที่ปรึกษาทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ ของกองทุนวิจัยโรคมะเร็งโลก บอกชี้ว่า ผู้ที่ชอบกินวิตามินและเกลือแร่เสริม แทนที่จะคอยกินอาหารให้ถูกส่วน นับว่ายิ่งเสี่ยงหนัก
อันนี้บีมเห็นด้วยค่ะ จากประสบการณ์ที่เคยทำ MLM มาสักพัก (นานมาแล้วค่ะ) พบว่า คนทำงานประเภทนี้จะไม่ค่อยทานข้าว ไม่ทานอะไรให้ถูกสุขลักษณะ ไม่ค่อยสร้างสุขภาพ แต่จะใช้อาหารเสริมกับวิตามินกินต่างข้าวเท่านั้นเอง ซึ่งหลาย ๆ คนก็เข้าใจว่าถ้ากินอาหารเสริมหรือวิตามินแล้วจะหายจากโรคนั้นโรคนี้เหมือนกับกินยา จริง ๆ แล้วชื่อบอกว่าอาหารเสริมนะคะ เราจึงต้องบำรุงตัวเองด้วยการสร้างสุขภาพในแนวทางที่บีมแนะนำก่อน แล้วค่อยเสริมในตัวที่เราขาด เช่นว่า ในพื้นที่นั้น เราหาพวกวิตามินนี้ในผักผลไม้ไม่ค่อยได้ ก็ค่อยทานเสริม หรือมีอาการสิวรุนแรง สร้างสุขภาพมาได้สักพักแต่ไม่หายขาด ก็เพิ่มวิตามินเข้าไปค่ะ ไม่ได้ให้กินเป็นอาหารหลัก
หนังสือพิมพ์รายวัน "เดอะ เดลี่ เอกซเปรสส์" ของอังกฤษ รายงานว่า ดร.มาร์ตินกล่าวต่อไปว่า คนหลายคนเชื่อว่า การกินอาหารเสริมต่างๆ จะช่วยให้พ้นภัยของมะเร็งได้ แต่ไม่ปรากฏมีหลักฐานยืนยันเลย ไม่ใช่คิดว่าการกินพวกอาหารเสริมในรูปเม็ดต่างๆ ร่างกายจะได้คุณประโยชน์เท่ากับการกินอาหาร ที่ให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ป้องกันมะเร็งระดับสูง ซึ่งที่จริงแล้ว การกินสารอาหารรองเหล่านี้ในปริมาณสูง เป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาอะไรได้และเป็นภัยต่อสุขภาพด้วย โดยเฉพาะวิตามิน เอกับอี อาจทำให้เจ็บป่วยลงได้จริง
เราจะพ้นภัยมะเร็งได้ก็ต่อเมื่อเราสร้างองค์ประกอบสุขภาพทั้ง 6 ขึ้นมาให้ได้ก่อนค่ะ ไม่ใช่การอาหารเสริมเป็นข้าว
ถ้าหากเป็นแต่ก่อนที่บีมยังไม่รู้จักการกินอาหารที่มีประโยชน์แบบนี้ บีมคงเข้าใจว่า คำว่า "อาหาร" ที่ดร.นี้พูดถึงคือการกินอะไรที่เรากินทุกวันนั่นแหละ (เบเกอรี่ให้คาร์โบไฮเดรต, น้ำชาเขียวบรรจุขวดให้สารต้านอนุมูลอิสระ, ต้มยำเผ็ด ๆ ทำให้ขับพิษ ฯลฯ)
ซึ่งจริง ๆ แล้ว สิ่งที่เรียกว่าอาหาร หมายถึง สิ่งที่กินเข้าไปต้องให้ประโยชน์แก่ร่างกาย ดังนั้น อะไรที่ให้โทษ เช่นของหวานๆ น้ำอัดลม แป้งแปรรูปที่ไม่ให้ประโยชน์กับร่างกายซ้ำยังเป็นโทษ ไม่น่าจะเรียกว่าอาหารได้ค่ะ แต่คนเรากินกันจนติดและเข้าใจว่า อาหารคือทุกอย่างที่เอาเข้าปากได้และทำให้หายหิว
ซึ่งอาหารที่เป็นอาหารจริง ๆ จะช่วยป้องกันมะเร็งได้ตลอดชีวิตแน่นอนค่ะ มันขึ้นอยู่กับว่าเราเข้าใจคำว่าอาหารมากแค่ไหน
และที่กล่าวว่าวิตามิน ถ้าหากบริโภคในระดับสูงและไม่ได้สัดส่วนกับวิตามินตัวอื่น หรือกับอาหารที่กิน ก็ทำใ้ห้เกิดโทษแน่นอนค่ะ และการระคายเคืองเนื้อเยื่อด้วยการทานวิตามินไม่ถูกส่วนก็ทำให้เสี่ยงต่อมะเร็งหรือโรคอื่น ๆ แน่ ๆ ค่ะ
วิตามินเอกับอี เป็นวิตามินที่สะสมในร่างกายได้ คำว่าสะสมคือ ถ้าหากทานเข้าไป จะไม่ถูกขับออกไปหากมีส่วนเกินมา แต่จะถูกเก็บไว้ในเนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งร่างกายจะนำเอาออกมาใช้ได้ก็ต่อเมื่อร่างกายขาดสารตัวนี้ (ร่างกายเราฉลาดค่ะ เค้ารู้เองว่าเมื่อไหร่ขาด ก็จะไปดึงออกมา และถ้าหมดแล้ว เค้าจะส่งสัญญาณบอกเราเอง เราก็ต้องรู้จักสังเกตอาการของร่างกายด้วย) ซึ่งถ้าสมมติว่า่ เค้ากำหนดให้กินวิตามินเอเพียงวันละ 10,000 IU แต่เรากิน 25,000 IU มันจะเกินมา 5,000 IU ส่วนนี้จะถูกเก็บสะสมเอาไว้
ดังนั้น วันต่อมาเราก็ไม่จำเป็นต้องกินวิตามินเอก็ได้ค่ะ ก็ให้กินพวกฟักทอง หรือผักผลไม้สีเหลืองส้มแทน ก็จะได้รับวิตามิน เอ ทบกับเมื่อวานอย่างเีพียงพอ
ซึ่งถ้าหากกินเยอะไป มันจะอัดแน่นสะสมในเนื้อเยื่อไขมันเรื่อย ๆ และขัดขวางการทำงานของเซลล์ร่างกายได้ในที่สุด ทำให้ป่วยค่ะ
เขาวิจารณ์การกินวิตามินในปริมาณ มากเกินไปว่า คนบางคนอาจจะเท่ากับทำร้ายตนเอง เคยมีการศึกษาแสดงผลว่า การกินอาหารเสริมในปริมาณสูง อาจจะยิ่งทำให้เสี่ยงกับมะเร็งบางอย่างมากขึ้น โดยมีหลักฐานที่เชื่อมั่นได้ว่า คอยาที่กินอาหารเสริมที่มีเบตา-แคโรทีนมากเกินไป จะยิ่งเสี่ยงกับมะเร็งปอดหนัก.
เหตุผลเหมือนข้างบนที่อธิบายไปแล้วค่ะ
ซึ่งบีมต้องบอกเพื่อน ๆ อีกครั้งว่า การแพทย์มี 2 กระแส คือ กระแสหลัก กับ กระแสรอง
กระแสหลัก จำไว้ว่า จะเกี่ยวข้องกับยา และการรักษามักจะหายเร็ว แต่ต้องพึ่งยาและหมอเรื่อย ๆ
กระแสรอง จำไว้ว่า จะเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ อาหาร การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม วิตามิน อาหารเสริม ฝังเข็ม ฯลฯ มักหายช้าแต่หายขาด
กระแสรวม เป็นคำที่บีมคิดขึ้นเอง บัญญัติเองเพื่ออธิบายถึง แพทย์ที่ใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน ซึ่งตอนนี้มีเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ และมีแนวโน้มมาใช้แนวธรรมชาติบำบัดมากขึ้น (ในต่างประเทศการเรียนในสาขาวิชานี้และอาชีพในสาขานี้กำลังบูมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่บ้านเรายังมีไม่กี่ที่ ต่างประเทศเรียก Naturopathy ซึ่งบีมกำลังสนใจที่จะเรียนค่ะ ดูอยู่ว่าจะต้องมีปริญญาด้านสุขภาพมั้ย ก็กำลังเช็คข้อมูลอยู่)
ซึ่งงานด้านวิชาการหรืองานวิจัยที่ออกมาจะแบ่งได้ตามนี้ ต้องดูว่านักวิจัยกลุ่มนั้นเค้าอยู่ในกระแสไหน
เพราะรู้สึกเค้าจะมีงานวิจัยออกมาขัดกันเกือบตลอดค่ะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสหลักที่บีมได้อ่านมาว่า งานวิจัยต่างๆ มักได้รับเงินทุนสนับสนุนจากบริษัทยาใหญ่ ๆ ซึ่งกำลังเสียผลประโยชน์จากการที่คนหันมาดูแลสุขภาพด้วยแนวธรรมชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงมักจะโจมตีหรือใช้งานวิจัยปกป้องยาของตัวเองอยู่เสมอ
ก็ใช้ปัญญาที่มีอยู่พิจารณาดูตามนี้นะคะ
ถ้าบีมเข้าใจผิดก็ต้องขออภัย มา ณ ที่นี้ และโปรดชี้แจงค่ะ ^^
ความคิดเห็น