Epigenetics ผ่าเหล่า "พันธุ์สิว" เป็นไปได้อย่างไร มาดูกัน

ฟังชื่อหัวข้อ อาจจะน่ากลัวดูสักหน่อย แต่บีมจะบอกว่า หัวข้อนี้จะเปลี่ยนแปลงความคิดของคนหลาย ๆ คนจากหดหู่ให้มีความหวังขึ้นมาได้ ไม่ใช่แค่มีความหวังริบหรี่ แต่มีหวังว่าจะเป็นผู้พิชิตสิวได้จริง ๆ ค่ะ

เมื่อคืน บีมว่าจะนอนเร็ว แต่แล้วต้องมีเหตุให้เลื่อนเวลานอนออกไปอีกนิด เพราะดันไปเปิดข่าวสารอัพเดทที่คุณ Seppo ส่งเข้ามาให้สมาชิกที่ไปสมัครไว้ที่เว็บของเค้าได้อ่านกันฟรี ๆ (เดี๋ยวนี้หายใจเข้าออกก็ Seppo เนาะ อย่าพึ่งเบื่อนะคะ ผู้ชายคนนี้มีข้อมูลใหม่ ๆ เยอะแยะเลย ขอบอก)

เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Epigenetics

นั่นแน่ งงล่ะสิว่ามันคืออะไร ใครรู้ก็ขอให้เอาน้ำออกจากแก้วสักนิดนะคะ แล้วลองเปิดใจอ่านดูก่อน ถูกผิดก็ค่อยเอาไปคิดไปย่อยกันอีกทีค่ะ

จาก It’s all genetics and nothing you can do about it… or is it? http://www.natural-acne-solution.com/support-files/acne101-genes.pdf ที่บีมนั่งอ่านด้วยความสนใจปนความง่วงเมื่อคืนนั้น

คำว่า Epigenetics นี้ คือ การศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของยีนส์

ศาสตร์นี้เป็นศาสตร์ใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เค้าได้ค้นพบต่อเนื่องมาจากการค้นพบการถอดรหัส DNA (จำได้มั้ยคะ ว่ามีช่วงนึงที่เค้าประโคมข่าวกันเกี่ยวกับ การรักษาโรคมะเร็งหรือโรคเรื้อรังต่างๆ ในระดับ DNA)

อ่า ...แล้วมันเกี่ยวยังไงกับ ฉัน/ผม/หนู ที่เป็นสิวล่ะคะ/ครับ?

เกี่ยวแน่นอนค่ะ กำลังจะอธิบายนะคะ ใจเย็นๆ ก่อน

บีมเชื่อแน่ว่า เพื่อน ๆ และน้อง ๆ ที่มีปัญหาสิว มักจะโทษชะตาฟ้าดินด้วยใช่มั้ยคะ และำคำถามที่บีมก็เคยมีคือ "ทำไมต้องเป็นเรา(ฟะ)" อะอะ แถมคำแสดงอารมณ์ให้ด้วย มันเป็นความรู้สึกหดหู่ ปนบัดซบนิด ๆ ใช่มั้ยคะ และเหตุผลหนึ่งที่สำนักสิวต่าง ๆ ได้ให้เหตุผลที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่ำภายใต้การควบคุมของชะตากรรมก็คือ "มันเป็นพันธุกรรมค่ะ"

ได้ยินแบบนี้ก็ "จอด" สิคะ ไม่ต้องถามอะไรต่อ เพราะ เกิดมาแล้วนี่ ทำไงล่ะ

แต่บีมเคยตั้งคำถามนะ ว่าถ้ามันเป็นพันธุกรรมจริง ทำไมตากับยาย และญาติ ๆ ของเราที่อยู่ที่อ.พานนี่เค้าถึงไม่เป็นกัน หรือมันเป็นที่ลักษณะการกินการอยู่ของเรา เพราะญาติพี่น้องที่นี่มักจะเข้ากรุงเทพก็ตอนโตแล้วค่ะ แต่พวกบีมจะเข้าเมืองใหญ่ ๆ กันตั้งแต่เล็ก ๆ อาหารก็กินแบบคนในเมือง คือ จะเขี่ยผักทิ้งตลอด ชอบหมู ไก่ ขนมหวานมากมาย

ผลสุดท้าย ตอนสงกรานต์กลับมารวมญาติ ไหง..เราสามพี่น้องเป็นสิวกัน ทำไมญาติ ๆ ไม่เห็นเป็นกันเลย

และทำไมเด็กดอยถึงแก้มแดงโดยที่เค้าไม่เคยมีครีมดี ๆ ไม่ใช้เครื่องสำอางค์ (ที่รู้นี่ คือเห็นตลอดค่ะ เวลาเค้าลงเอาข้าวมาสี ยิ่งหน้าหนาวนี่นะ แก้มแดงเป็นลูกตำลึงกันเลยทีเดียว ผิวเนียนมากกกก ขอบอก)

ในขณะที่เด็กในเมืองต้องซื้อครีมนู่นนี่ ต้องทำแก้มชมพู (เพราะมันชมพูธรรมชาติไม่ได้)

เรามาเฉลยกันค่ะว่ามันเป็นเพราะ Epigenetics นี้แหละ

ตามแนวคิดนี้ อธิบายว่า ในสิ่งมีชีวิตหนึ่ง ๆ นี้ จะมียีนซึ่งเป็นลักษณะที่ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่และบรรพบุรุษอยู่ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งเป็นยีนที่ปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมที่เราอยู่ว่าจะมีผลกระทบต่อร่างกายอย่างไร

งานวิจัยที่ทดลองแล้วเห็นชัดเจน ทำโดย Dr. Lipton จาก Duke University คือ ทดลองกับแม่หนูที่มียีนagouti gene ซึ่งหนูที่มีลักษณะเช่นนี้จะมีขนสีเหลืองและอ้วนมาก ซึ่งจะทำให้เกิดโรคมะเร็ง หัวใจและเบาหวาน

แบ่งหนูออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้กินอาหารเสริม อีกกลุ่มหนึ่งไม่ให้กิน

ผลออกมาก็คือ ลูกของแม่หนูที่ได้รับอาหารเสริม มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์เหมือนหนูปกติทั่วไป แต่อีกกลุ่มหนึ่ง มีลักษณะเหมือนแม่เลย

ดังนั้น เป็นที่ชัดเจนว่า ลูกหนูทั้งสองกลุ่มนั้นได้รับการถ่ายทอดยีนที่ Agouti เหมือนกับแม่มา แต่ว่าการแสดงออกของลักษณะทางพันธุกรรมในรุ่นลูกนั้นต่างกัน เพราะสภาพแวดล้อมของเซลล์ของแม่นั้นต่างกัน

ร่างกายของแม่หนูที่ได้รับอาหารเสริมนั้น เซลล์ได้รับการบำรุงเี้ลี้ยงดูเป็นอย่างดี ในขณะที่อีกตัวไม่ได้รับ

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

ก็เพราะว่า อันที่จริงแล้ว ยีนของเรานั้นจะถูกควบคุมโดยสัญญาณที่ส่งมาจากสภาพแวดล้อมค่ะ ซึ่งนี่ก็คือ Epigenetics ที่เค้าเรียกกัน คือ "สภาพแวดล้อมสามารถควบคุมการแสดงผลของยีนได้" แทนที่ความคิดเรื่องยีนแบบเดิมคือ "ใครเกิดมามียีนยังไงก็ต้องเป็นแบบนั้นตลอดชีวิต"

Seppo เขียนไว้ได้ดีค่ะว่า สิ่งสำคัญน่ะ ไม่ใช่ยีนหรือพันธุกรรมที่เราได้รับมาจากพ่อแม่หรือสายเลือดหรอก แต่สิ่งที่เราได้รับคือ "รูปแบบ" พฤติกรรมทั้งการเลือกกินอาหาร การจัดการความเครียด อารมณ์ด้านลบหรือบวก การนอนหลับ คือ สิ่งที่เราเลียนแบบมาจากพ่อแม่เรานั่นแหละ ที่ส่งผลต่อร่างกายของเราในปัจจุบัน

อาจจะไม่ใช่พ่อแม่ก็ได้ค่ะ อาจจะเพื่อน หรือเป็นวิถีชีวิตที่เรากำหนดเอง

ดังนั้น นับจากนี้ไป เราจะไม่โทษฟ้าดินและไม่โทษพ่อแม่แล้วนะคะ เพราะที่จริงแล้ว มันคือความรับผิดชอบของเราเองที่จะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้มีสภาพแวดล้อมที่เซลล์จะสามารถปลดปล่อยยีนที่ทำให้สุขภาพเราสมบูรณ์แข็งแรงและปราศจากสิวได้

ที่จะบอกก็คือ สิวเป็น "โรค" ที่เกิดจากการที่เราสร้างสภาพแวดล้อมหรือบ้านที่ไม่น่าอยู่ให้กับเซลล์ของเรามาเป็นเวลานาน และหากเราจะลงแรงปรับเปลี่ยนบ้านหลังนี้ (ร่างกาย) ของเราให้เป็นบ้านที่น่าอยู่ โดยการหล่อเลี้ยงพวกเค้าด้วยอาหารที่เต็มไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุจากผักและผลไม้สด

เซลล์เหล่านี้จะชื่นบาน สดใส น่ารักร่าเริง ได้อย่างแน่นอนค่ะ

ถ้าไม่เห็นภาพ ก็คิดเหมือนกับว่า เรามีสัตว์เลี้ยง มีน้องหมา ถ้าหากบ้านไหนเอาแต่ขัง ให้กินอะไรก็ไม่รู้ เอาแต่ให้ทำงาน ทุบตี หมามันก็จะจิตใจไม่ปรกติ ชอบเห่า วันดีคืนดีจะไล่งับคนเข้าให้

แต่ถ้าหมาตัวไหน เจ้าของเลี้ยงด้วยความรัก ทะนุถนอม ให้อาหารดีๆ พาไปเดินเล่น เค้าจะน่ารัก และจะทำให้เราอารมณ์ดีขึ้นด้วยใช่มั้ยคะ

เซลล์เราก็ต้องการความรักเหมือนกันค่ะ ฟังความต้องการของเค้าและสร้างบ้านที่น่าอยู่ให้เค้ากันได้แล้วค่ะ

แล้ว สิวจะค่อย ๆ เลือนหายไปจากพจนานุกรมของเราเองค่ะ ไม่ต้องกังวล ขอแค่เราปัดกวาดบ้านให้สะอาด ให้ลมพัดผ่านสบาย (หายใจลึก ๆ ช้า ๆ อารมณ์ดี ไม่เครียด) เดี๋ยวอะไรสกปรกไม่ดี ๆ มันก็ไปเอง

สู้ ๆ ค่ะ เอาใจช่วย

สำหรับข้อมูลเพิ่มเิติมเกี่ยวกับ Epigenetics ภาษาไทย ดูตามลิงค์ต่อไปนี้ได้ค่ะ
http://www.thaihealth.net/h/modules.php?name=News&file=article&sid=251
http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=85404
http://www.balavi.com/content_th/nanasara/Con00397.asp
http://bio.thainhf.org/?module=news&page2=detail&id=266

และขอบคุณต้นฉบับของ Seppo ค่ะ
http://www.natural-acne-solution.com/support-files/acne101-genes.pdf

ความคิดเห็น