ไดอารี่ประจำวันที่ 6 กันยายน 2552

วันนี้ขออัพเดทเรื่องของตัวเองบ้างนะคะ ว่า progress ในชีวิตไปถึงไหนแล้ว

ตอนนี้บีมกำลังอินกับเรื่อง ธาตุทั้ง 5 หยิน-หยาง และการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสิวบนหน้ากับอวัยวะภายใน

เมื่อวานนี้ได้เข้าไปอ่านบล็อกของคุณเชน (เอ...คิดว่าเค้าคงชื่อนี้นะคะ) ที่ http://aunlamun.exteen.com/ ค่ะ และอ่านไปหลาย post มาก ๆ

นั่นแน่...อย่าพึ่งคิดว่า บีมจะเปลี่ยนแนวทาง ทิ้งแนวทางคุณ Seppo คุณ Wai และคุณหมอเขียว ไปนะคะ

บีมเป็นพวกชอบมองอะไรให้สัมพันธ์กัน แนวทางของพวกเขาเหล่านี้ เป็นไปในทางเดียวกันค่ะ แต่อาจจะมีรายละเอียดบางอย่างที่ต่างกัน

แต่ยิ่งอ่านข้อมูลยิ่งมันส์ และยิ่งเติมเต็มความรู้อันน้อยนิดในหัวของบีม และมันสนุกตรงที่ว่า เราได้รับคำตอบไปเรื่อย ๆ

บีมจะบอกว่า ไม่มีใครเป็นหมอได้เท่ากับตัวเราจริง ๆ ค่ะ และศาสตร์ของปรัชญาตะวันออกอันมีรากเหง้ามาจากอินเดียและจีนนั้น ก็เน้นไปที่การดูแลตัวเองได้ (หวังว่าคงไม่ได้คิดไปเองนะคะ อิอิ)

ดังนั้น ในช่วงที่เรารักษาสิวด้วยวิธีนี้ เราจึงจำเป็นต้องจดบันทึกเพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด

เหมือนเวลาเราไปหาหมอ ถ้าหากมีประวัติคนไข้ การตรวจรักษาและวินิจฉัยก็ทำได้ง่ายขึ้น

สำหรับบีม ขอแชร์เรื่องแรกก่อนค่ะ

ถ้าเพื่อน ๆ จำ Chinese Face Mapping ได้ ที่บีมเอามาลงให้ดู บีมจะบอกว่า มันค่อนข้าง work นะคะ ในการวินิจฉัย (โห ใช้คำซะ) ว่าอวัยวะส่วนใดของเราผิดปกติ (กว่าอันอื่น) บีมเองไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรค่ะ เพียงแต่ว่า สิ่งที่ได้ทดลองทำมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ นั่นคือ หลังจากที่ไม่ค่อยดื่มน้ำช่วงกลางวันมา 2 วันนี้ สิวบริเวณ Kidney หรือไตนั้น ค่อย ๆ ยุบกันไป ตอนแรกมันจะมีที่ข้างหูทั้ง 2 ข้าง ซึ่งเป็นสิวบวมน้ำใหญ่ ๆ แต่ยังไม่มีหัวปูดมาพร้อมกัน 3 เม็ดค่ะ ตกใจมาก และยังมีที่คางบวมใหญ่อีก 1 เม็ดพร้อมมีหัวอีก ก็มาเทียบกับแผนที่หน้าดู สงสัยเพราะดื่มน้ำเยอะไป ไตเอาออกไม่ทัน (เหมือนที่คุณอลิศแนะนำ) พอไม่ดื่มเยอะมา 2 วัน และจิบน้ำหญ้าหนวดแมวเข้าไปแทน วันนี้ ยุบกันถ้วนหน้าค่ะ ไม่มีอักเสบปวดบวมแดง และสิวที่มีหัว เมื่อคืนพอล้างหน้าด้วย Soafty เสร็จ ก็พอกไข่แดงค่ะ และก็กินไข่แดงไปด้วยเพราะเสียดาย (อะอะ) เช้านี้มา หัวมันหายไปนะคะ

ตอนนี้บีมกำลังทดลองดูว่า สิวบริเวณระหว่างคิ้ว และ กราม ที่ในแผนที่ใบหน้านั้น มันสอดคล้องต้องกันว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับ stomach หรือ กระเพาะอาหารค่ะ

ดังนั้น ตอนนี้บีมก็จะดูแลกระเพาะอาหารเป็นพิเศษ เดี๋ยวต้องไปค้นหาวิธีดูว่า ปัญหาที่เกิดกับกระเพาะนั้นมีอะไรบ้าง และจะแก้ไขยังไงได้บ้าง แล้วจะเอามาอัพเดทกันนะคะ

เรื่องถัดไป จะเป็นเรื่องพฤติกรรมการดื่มน้ำ จะทำให้เสียสุขภาพอย่างไรบ้าง

เมื่อวานอ่านบล็อกของคุณเชนที่ได้อ้างถึงไปแล้วนะคะ บีมสรุปออกมาว่า การดื่มน้ำต้องดื่มให้ถูกต้องจึงจะเป็นผลดีค่ะ ถ้าดื่มผิด จะยิ่งทำให้สุขภาพเสียกันไปใหญ่

  • คุณเชนแนะนำว่า การดื่มน้ำ ให้คำนวณจาก น้ำหนักตัว x 2.2 x 30 และหารด้วย 2 พอได้ออกมาจะมีหน่วยเป็น "มิลลิลิตร"ให้เอา 200 หาร (เพราะตีว่า 1 แก้วประมาณ 200 มล.ค่ะ) ได้ออกมาเท่าไหร่ ก็จะเป็นจำนวนน้ำที่เราควรดื่มให้ได้กี่แก้วภายใน 1 วัน
  • การดื่มน้ำ ควรดื่มให้มากที่สุดหลังตื่นนอนทันทีประมาณ 2 -5 แก้วค่ะ เพื่อขับของเสีย
  • ระหว่างวัน ให้ใช้วิธีจิบเอาค่ะ จิบไปเรื่อย ๆ กะให้ไม่เกินปริมาณน้ำที่เราควรได้รับในแต่ละวัน (ตามที่เราคำนวณไปแล้ว) เพราะถ้าหากดื่มเข้าไปตู้มเดียว มันจะทะลักออกไปเลย โดยที่ร่างกายเรายังไม่ได้ใช้น้ำที่เราดื่มเข้ามาเลยค่ะ
  • น้ำเย็นไม่ดีต่อกระเพาะ (อันนี้บีมก็ต้องเปลี่ยนเหมือนกันค่ะ เพราะปกติระหว่างวันจะดื่มน้ำเย็น) น้ำเย็นจะทำให้กระเพาะทำงานแย่ลง ย่อยอาหารไม่ดี เกิดบูดเน่าในลำไส้ต่อไป ส่งผลให้เป็น "ไส้รั่ว"
  • ไม่กินน้ำพร้อมข้าว เพราะจะทำให้น้ำย่อยเจือจาง อาหารไม่ย่อย (อาการของอาหารไม่ย่อย คือ จะเกิดลมในระบบทางเดินอาหาร กลายเป็นเรอ เป็นผายลม หรือแน่นท้อง ถ้าหากว่าใครเป็น ก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารและน้ำใหม่นะคะ อาหารที่เรากินอาจย่อยยากเกินไปสำหรับเรา อาหารรสจัด ก็อาจทำให้เกิดอาการดังกล่าวได้ ต้องลองสังเกตตัวเองค่ะ หรือบางทีอาหารไม่ได้ย่อยยาก แต่เราเคี้ยวไม่ละเอียดก็รีบกลืน)
  • ก่อนอาหาร 15 นาที หลังอาหาร 45 นาที และระหว่างอาหาร ดื่มน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้ว รวมน้ำซุป น้ำแกง ในอาหารแล้วนะคะ

สำหรับตรงนี้ ใครอยากอ่านละเอียด ไปที่บล็อกของคุณเชนได้เลยค่ะ ข้อมูลดี ๆ เพียบ ที่เกี่ยวกับแพทย์แผนจีน (เพราะเค้าเรียนอยู่ที่เมืองจีนเลยค่ะ รู้สึกจะปีสุดท้ายละมั้งคะ บีมรู้จักเค้าจาก google ค่ะ อะอะ) http://aunlamun.exteen.com/20070929/super-recommended

และตอนนี้บีมกำลังทดลองเปลี่ยนพฤติกรรมดื่มน้ำอยู่ค่ะ ซึ่งขอทดลองสักพัก แล้วจะกลับมาเขียนเล่าสู่กันฟังอีก แต่รู้สึกดีนะคะ เมื่อวานบีมไม่ได้ดื่มน้ำเยอะ แต่ตอนเช้ามา ปากก็ไม่แห้ง ชุ่มชื้นเป็นปกติดีค่ะ

อ้อ เมื่อคืนบีมนอน 5 ทุ่มแล้วตื่นตี 2 ครึ่งค่ะ บีมจะทดลองดูว่า ที่หมอเขียวพูดไว้ว่า ถ้าหากใครมีงานคั่งค้าง ให้เข้านอนสัก 4 ทุ่มตื่นมา ตี 2 เพราะช่วงเวลาตี 2 เป็นต้นไป สมองจะปลอดโปร่งและทำงานได้ดี แต่ท่านก็บอกนะคะว่า เราก็ต้องรู้ตัวเองด้วยว่า ตื่นตี 2 แล้วมันไหวมั้ย ถ้าไม่ไหว อย่าไปฝืน

บีมก็ทดลองดูค่ะ แต่ตอนนี้บีมนอนยาวไม่ได้เหมือนก่อนแล้ว เพราะมานอนกับยายแล้วค่ะ ยายเค้าก็เรียกเวลาที่เค้าอยากจะพลิกตัว ซึ่งเมื่อคืนบีมก็ตื่นมา 2 รอบ รอบสุดท้ายก็ตี 2 ครึ่ง ก็เลยลองตื่นดูเลยละกัน

ตอนแรกว่าจะลองไปเดินจงกรมนอกบ้าน

แต่ที่แถวบ้านบีมแรงค่ะ เลยไม่กล้าออก อะอะ ถ้าใครเล่น twitter จะเห็นบีม tweet แต่เช้า (ตรู่) อิอิ

6 โมงก็ออกไปวิ่งค่ะ อากาศดีมากกกก

กลับมามากินชาโหระพาล้างลำไส้ 1 แก้ว นั่งอ่านหนังสือ Clear For Life สักพัก ก็ง่วงมากมาย เลยขอแม่ขึ้นไปนอน ตื่นมา 10 โมง

บีมก็ลองกินอาหารที่บ้านทำดู วันนี้เป็น "จอผักกาด" ค่ะ เป็นผักกาดนี่แหละ และก็ใส่พวกน้ำมะขามเปียก หรือมะเฟืองให้มันออกรสเปรี้ยว บีมรู้สึกว่ามันเค็มนะ (พอเรากินรสธรรมชาติไปสักพัก ถ้าอาหารรสจัด เค็มไป หรือจัดไปทางไหน จะรู้เลยค่ะ) แต่ก็ลองดู ดูสิว่าจะเป็นยังไง

ผล คือ บ่ายนี้ คันสิวยิบ ๆ ค่ะ เพราะบีมไม่รู้ว่า เค้าใส่เกลือมากแค่ไหน และใส่ผงชูรสรึเปล่า

ต่อไปจะไม่กินอีก ... มันจะรู้สึกไปเองค่ะ เพราะเวลาคันสิว มันไม่สบายหน้า ซึ่งที่เรากินผลไม้กับผักสดมา เราไม่มีคันแบบนี้เลย นี่ก็จะกินสาลี่และน้ำมะนาวผสมน้ำไปตลอดจนเข้านอนล่ะค่ะ จะได้ลดฤทธิ์ของที่เรารับเข้าไปเมื่อเช้า

สำหรับเพื่อน ๆ ที่ถามเข้ามาเรื่องรอยแดง หรือรอยสิวนั้น บีมขอเวลานิดนึงนะคะ เพราะเรื่องรอยนี้ บีมเคยหาอ่านไปแล้วครั้งนึง ซึ่งเป็นหัวข้อฮอตฮิตอีกอันที่เพื่อน ๆ มักจะถาม แต่รอยของบีมมันจางไปเองส่วนใหญ่ บีมเลยไม่ค่อยมีปัญหากับรอยค่ะ

ต้องค้นคว้าอีกหน่อย....

ระหว่างนี้ ก็หันมากินผักผลไม้สดที่ปราศจากสารเคมีให้มากเข้าไว้นะคะ

เอาแช่น้ำถ่าน (ถ่านดำ ๆ น่ะค่ะ) สัก 20 นาทีแล้วมาล้างน้ำสะอาดอีกครั้งนะคะ เพื่อความปลอดภัย

เพื่อน ๆ อยากให้บีมเพิ่มเติมเนื้อหาส่วนใด ก็โหวตได้ที่ poll เลยนะคะ มีคอมเมนต์อะไรก็ส่งเมลมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ หรือมีอะไรจะแชร์กันก็บอกมาได้เลยค่ะ

บีมไม่ได้ถือว่าตัวเองเป็น "กูรู" แต่บีมเป็นคนที่กล้าทดลองอะไรใหม่ ๆ ที่คิดว่ามันดี และถ้ามันได้ผลและดีจริง บีมก็เอามาแบ่งปันกันค่ะ ดังนั้น เราต่างก็สามารถช่วยกันเรียนรู้ได้

อย่างน้อย ก็ถือว่า ได้ช่วยให้เรามีเงินเก็บในกระเป๋ากันมากขึ้นจากการที่เอาเงินหาหมอมาซื้อของสดกินค่ะ

ขอให้สุขภาพดีกันถ้วนหน้านะคะ

ความคิดเห็น