ไดอารี่ประจำวันที่ 16 กันยายน 52

พึ่งตื่นจากงีบหลับไปพักนึงค่ะ หลังจากที่ไปตะลอนทัวร์กับคุณแฟนทั้งวัน

วันนี้บีมติดสอยห้อยตามเค้าไปทำงานด้วยค่ะ พอดีว่าเค้าทำงานเป็น consult ทางด้านสื่อ สิ่งพิมพ์ ก็เลยมีเวลายืดหยุ่น

ด้วยความเพลียสะสมตั้งแต่ตอนดูแลคุณยายที่ผ่านมา กับ การเดินทางตลอดวันเมื่อวานนี้

วันนี้บีมนอนทั้งวันจริง ๆ นอนบนรถตอนเค้าไปเจอลูกค้า เหอะ ๆ

เมื่อวานมาถึงก็ดึกแล้ว วันนี้บีมก็เลยต้องกินอาหารปกติมากหน่อย เพราะมันกินแบบที่เรากินอยู่บ้านไม่ได้

ก็หวังว่าพรุ่งนี้จะเจอเครื่องปั่น

เพราะวันนี้หลังจากดูหนังกับทานอาหารเสร็จแล้ว ก็ไประดมซื้อผักกับผลไม้ซะเลย

ที่ตกใจคือ มีมะระขายด้วย อะอะ ไม่คิดว่าจะมี

ซื้อมาหลายอย่างมากขอบอก เพราะมันต้องกินทุกวันไงคะ

แต่วันนี้ขอบอกว่า คาร์โบเกือบ 80% ได้

จริง ๆ แล้วแอบทรมานตั้งแต่เมื่อวานแล้วแหละ อะอะ เพราะว่า เรากินอะไรแบบนี้ มันหาของกินยากจริง ๆ

แต่ดีที่ไปพักที่สุวรรณภูมิแป๊บนึง ก็เลยได้กินปลาแซลมอนซึ่งเป็นโปรตีนได้ 1 มื้อเต็ม ๆ ก่อนนั้นก็กินผลไม้ปั่นแบบไม่มีน้ำตาลน่ะค่ะ

แต่มันก็สู้เราทำเองไม่ได้หรอก...แต่ก็ขอให้มันเขียนว่าไม่ใส่น้ำตาลก็แล้วกัน ไม่ใส่อะไรทั้งนั้น ขอรสธรรมชาติ

ยิ่งที่มาเลย์ ไม่ต้องพูดถึงเลย ส่วนใหญ่เค้าก็จะมีของมัน ๆ ทอด ๆ ซะเยอะ

แต่โชคดีวันนี้ แฟนพาไปร้านสุขภาพหน่อย แต่มันก็เป็นแซนวิสอ่ะนะคะ ซึ่งบีมไม่กินขนมปังเพราะมันทำให้สิวขึ้นได้เช่นกัน และยิ่งบีมไม่ได้กินผักผลไม้ปั่นตอนเช้าด้วย คือรู้ว่าวันนี้ยังไงก็คงไม่ได้กินผักผลไม้สดเยอะแน่ ๆ ก็ทำใจละกัน...enjoy ไปกับเค้าละกัน อะอะ เพราะเดี๋ยวเราค่อยกู้สถานการณ์ได้

คือ บีมเข้าใจแหละว่า ตลาดผู้บริโภคมันเป็นแบบไหน ของที่ขายๆกันมันก็เป็นแบบนั้น

ถ้าหากว่า demand ขอให้อร่อยไว้ก่อน อย่างอื่นช่างมัน

คนแบบบีม ถ้าออกจากบ้านแล้ว ก็ต้องหาอะไรกินได้ยากเป็นธรรมดา

แต่บีมว่าที่เมืองไทยเรามีร้านแนวสุขภาพเยอะกว่าที่นี่มาก ๆ เลยนะคะ

เพราะถ้าหากว่าสุขภาพจริง ๆ ล่ะก็ แซนวิสนี่ อย่างน้อยก็ต้องเป็น whole wheat ล่ะ

แต่การกินขนมปังซึ่งเป็นของผ่านกระบวนการนั้น มันก็เพิ่มภาระให้กับระบบย่อยอาหารของเราอยู่ดี

แต่การกินนาน ๆ ครั้ง มันคงไม่ทำให้เราเป็นอะไรไปหรอกค่ะ

ของบางอย่าง ก็ทำได้แค่ทำใจ ก็เข้าใจค่ะ

แต่ถ้าคนรอบข้างเราไม่เข้าใจ มันก็ลำบากอยู่ อะอะ

บีมเข้าใจเพื่อน ๆ ที่ต้องออกไปทำงานกันข้างนอกนะคะ

อาหารนั้น เรามักเลือกไม่ได้ และมันมักเป็นอาหารที่เราไม่ควรกินซะด้วย

แต่ไม่ต้องกังวลค่ะ เพราะจริง ๆ แล้วเรามีเวลาช่วงเช้ากับช่วงเย็นที่เราจะอัดผักและผลไม้สดได้อย่างเต็มที่เพื่อรักษาสมดุลให้กับร่างกาย

ในหนึ่งวันขอให้ได้กินผักและผลไม้สดปั่นสักวันละ 2 แก้วใหญ่ แต่ใครได้มากกว่านี้ จะเยี่ยมมาก ๆ

เพราะนอกจากเราจะได้วิตามินแร่ธาตุครบถ้วนแล้ว เรายังได้ใยอาหารจากผักและผลไม้เหล่านี้ช่วยกวาดอาหารตกค้างที่ย่อยไม่หมดที่ตกค้างในลำไส้ด้วย

และมีน้อง Vorakorn ได้สอบถามเข้ามาถึง Kefir หรือเป็นบัวหิมะ

ต้องขอบคุณมากนะคะ เพราะถือว่าเป็นความรู้ใหม่สำหรับบีม

บีมยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับตรงนี้ จึงไม่อยากจะออกความเห็นอะไร ใครที่สนใจเข้าไปดูข้อมูลได้ที่ http://kefirthailand.exteen.com/

แต่เท่าที่ได้ดูหลักการแล้ว มันจะคล้าย ๆ กับระบบ "ชีวภาพ" คือ สร้างและรักษาความสมดุลของเชื้อโรคที่ดีและไม่ดีในร่างกายของเรา

ส่วนที่สร้างปัญหาให้กับเราได้มากที่สุดคือ ระบบการย่อยอาหารที่ไม่สมบูรณ์ค่ะ

และถ้าหากแบคทีเรียที่ว่านี้สามารถช่วยย่อยอาหารในลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มันก็ไม่แปลกที่หลาย ๆ คนจะมีสุขภาพดีขึ้นค่ะ

แต่ร่างกายของเรานั้นซับซ้อน แม้ว่าจะมีการผ่าศพเพื่อศึกษาดูภายใน ก็ไม่อาจเข้าใจและอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายได้ 100%

วิธีการที่ใช้ได้กับคนหนึ่งอาจใช้ไม่ได้กับอีกคนหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับ "เส้นพื้นฐานสุขภาพ" ของแต่ละคน

ตรงนี้สำคัญมากนะคะ ที่เราจะต้องตระหนักถึง "ความไม่เหมือนกัน"

ซึ่งขอให้ศึกษาในบล็อก เส้นพื้นฐานสุขภาพ ที่บีมเคยเขียนเอาไว้นะคะ เพราะจะได้ไม่หงุดหงิดหรือท้อใจระหว่างทางเดินการรักษาสิวหรือดูแลสุขภาพตัวเอง

และการนำเอาโยเกิร์ตดังกล่าวมาใช้กับหน้า สำหรับบางคนก็จะดี สำหรับบางคนก็จะไม่ดี

การที่เราจะรู้ว่ามันดีกับเรามั้ย ไม่มีใครบอกได้นอกจากตัวเราค่ะ

ถ้ามันไม่หนักหนาสาหัสและผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเราสามารถจะยอมรับมันได้ และเราได้ศึกษาข้อมูลมาอย่างดีแล้วก็ลองทำค่ะ เพราะนั่นคือสิ่งที่เราจะเรียนรู้ได้เร็วและดีที่สุด

สำหรับบีม ยังไม่เคยใช้

แต่เข้าใจว่า การนำเอาแบคทีเรียที่เค้าบอกว่าเป็นแบคทีเรียที่ดีจากการใช้บัวหิมะหมักกับนมนั้นมาพอกหน้าแล้วดีขึ้น แสดงว่า แบคทีเรียบนหน้าของเราน่าจะมีการปรับสมดุลระหว่างตัวดีกับไม่ดีนะคะ พอมีสมดุล การอักเสบหรือการสมานตัวเองก็ทำได้ดีขึ้น จึงทำให้ปัญหาต่าง ๆ บนหน้าหายไปโดยปริยาย

เหมือนกับการทำงานของไคโตซานที่ใส่ให้กับพืชน่ะค่ะ ที่มันจะช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้เซลล์และยังช่วยต่อต้านเชื้อโรคที่ไม่ดีที่มีอยู่ รักษาอาการต่าง ๆ ของพืชได้ด้วย

ถ้ามันทำงานบนหลักการนี้ ก็แสดงว่าเป็นการใช้ธรรมชาติควบคุมธรรมชาติ เพื่อรักษาสมดุลค่ะ

ซึ่งบีมเข้าใจว่าเป็นหลักการที่ดีที่สุดในจักรวาลแล้วค่ะ เรื่องของความสมดุลจะรักษาสิ่งต่าง ๆ

แต่ไม่ใช่ว่ามุ่งทำแค่สิ่งนี้อย่างเดียวนะคะ

บางครั้งคนเรา มุ่งไปที่แค่วิธีการใดวิธีหนึ่งเท่านั้น บางคนมุ่งหาอะไรมาใส่หน้า บางคนมุ่งหาอะไรมากิน

แต่ไม่เคยออกกำลัง ไม่เคยนอนให้พอ ชอบอารมณ์เสีย ชอบหงุดหงิด ชอบคิดลบ ไม่รื่นรมย์กับชึวิต ไม่เคยหยุดพักชื่นชมธรรมชาติและรับเอาอากาศดี ๆ เข้าสู่ปอด หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งบ้าง

ถ้าทำไม่ครบองค์ประกอบ บีมเข้าใจว่า มันคงจะยากที่เราจะมีภาวะสุขุภาพที่พึงปรารถนาอันจะเป็นรากฐานแห่งการหายจากสิวอย่างถาวรยากค่ะ

และยิ่งในกระบวนการรักษาตัวเอง กระบวนการล้างพิษของร่างกายนั้น อาจจะต้องมีช่วงที่สิวขึ้น ซึ่งร่างกายเค้าจะทำกระบวนการนี้ช้าเร็วก็ขึ้นอยู่กับสารพิษสะสมในร่างกายของเรา และกิจวัตรประจำวันของเรา

บางคนก็คิดลบและคิดว่า ไม่เห็นจะได้ผลเลย

โดยมองข้ามไปว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เราได้เริ่มบำรุงร่างกายและจิตใจของเราในทางที่ถูกนั้น ได้แก้ปัญหาอื่น ๆ ของสุขภาพไปมากมาย เช่น เคยปวดท้องรุนแรง แต่ตอนนี้ไม่ปวดแล้ว เคยไม่ขับถ่าย ตอนนี้ขับถ่ายดีขึ้น เคยอารมณ์แปรปรวน ตอนนี้สงบขึ้นเยอะ เคยผิวหยาบ ตอนนี้ผิวละเอียดแล้ว (ยกเว้นผิวหน้า ซึ่งที่มันเป็นปัญหาเพราะมันมีต่อมไขมันเยอะค่ะ แค่นั้นเอง) เคยมีกลิ่นตัว กลิ่นปาก หน้ามัน ตอนนี้ไม่มีแล้วหรือมีลดน้อยลง

สัญญาณที่ดีขึ้นเหล่านี้ บอกว่า เรามาถูกทางแล้วค่ะ การที่สิวขึ้น ก็เพราะสิ่งที่เราเคยทำในอดีต ทำให้ร่างกายต้องค่อย ๆ ปลดปล่อยออกมา

ขอแค่ว่า คิดบวก และอย่าไปเครียดกับมัน ก็ในเมื่อเรามาถูกทางแล้ว วันหนึ่งเราก็ต้องถึงจุดหมายค่ะ

และร่างกายของมนุษย์นั้น ถ้ามันดี มันจะดีขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว (ไม่เชื่อลองสังเกตดูค่ะ) มันคาดเดาไม่ได้หรอก แต่ถ้าดีก็ดีเลย เพราะมันเปลี่ยนเส้นสมดุลใหม่ จากเดิมเป็นเส้นทะลุเส้นสิว แต่พอมันดีขึ้นทั้งระบบ มันจะดีขึ้นแบบเร็วมาก และโอกาสจะกลับไปเป็นแบบเดิมนั้นก็จะยากมากด้วย ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนพฤติกรรมของเราให้เป็นไปในทางสุขภาพดีด้วยค่ะ

สู้ๆ นะคะ เอาใจช่วยเช่นเคยค่ะ

ความคิดเห็น