อารมณ์ ความคิด และจิตใต้สำนึกส่งผลต่อผิวอย่างไร

ช่วงนี้บีมขอเขียนเน้น ๆ เกี่ยวกับเรื่องจิตใจนะคะ เพราะบีมถือว่า เืรื่องของจิตใต้สำนึก และ คุณภาพของอารมณ์และความรู้สึกของเราเป็นสิ่งที่ควบคุมเราทั้งชีวิต และไม่เว้นแม้แต่ คุณภาพของผิวหนัง และ สิวค่ะ

ยกตัวอย่างง่าย ๆ เลยนะคะ เพื่อน ๆ รู้สึกมั้ยว่า ทำไมนักบวชที่น่าเลื่อมใส มักมีรัศมีบางอย่างและผิวพรรณที่ละเอียด

และทำไมเวลาที่เราดูในข่าว คนส่วนใหญ่ที่ฆ่า ปล้นคนอื่น มักจะมีผิวพรรณที่ดูหยาบกร้าน ไม่น่ามอง
นี่แหละค่ะ คือ ตัวอย่างของคุณภาพของจิตใจที่สะท้อนออกมาทางผิวกาย

หากเพื่อน ๆ ต้องการหายจากสิว (และโรคเรื้อรังอื่น ๆ) อย่างถาวรและอย่างเป็นธรรมชาติ จำเป็นจะต้องเข้าใจกระบวนการทำงานของจิตใจ ที่สัมพันธ์กับร่างกาย

ซึ่งหนังสือ Clear For Life ของ Seppo เขียนเกี่ยวกับเรื่องผลกระทบของความคิด จิตใต้สำนึก ไว้หลายหน้ามาก ๆ

ส่วนหนังสือ "ความลับฟ้า" ของ หมอเีขียว ก็เขียนเกี่ยวกับการปรับปรุงคุณภาพจิตใจ (แนวพุทธ) ไว้ประมาณครึ่งเล่มของทั้งหมด (เกี่ยวกับอาหารการกินครึ่งหนึ่ง และจิตใจอีกครึ่งหนึ่งค่ะ)

แล้วอย่างนี้ เพื่อน ๆ จะมองข้ามการทะนุถนอมจิตใจ ความคิด ความรู้สึก ไปได้อย่างไรคะ

แต่ครั้งนี้ บีมขออธิบายในแง่มุมตะวันตกจากหนังสือของ Seppo นะคะ

Seppo เีขียนไว้ว่า (และเพื่อน ๆ ก็คงเคยพอรู้กันมาแล้วว่า) จิตใจของเรามี 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ จิตสำนึกและจิตใต้สำนึก (อย่าพึ่งเบือนหน้าค่ะ อ่านให้จบก่อน :-))

ขอบคุณภาพจาก power from mind และเนื้อหาเค้าสั้น ๆ เกี่ยวกับจิตใต้สำนึก และยกตัวอย่างชัดเจนมาก แนะนำให้อ่านที่เว็บดังกล่าวเพิ่มเติมเล็กน้อยค่ะ

ไททานิคล่มเพราะส่วนที่จมอยู่ถูกมั้ยคะ

ชีวิตเราก็เ่ช่นกัน ... หากไม่อยากให้ล่ม ต้องมารู้จักส่วนก้อนมหึมานี้ให้ดีค่ะ

ก่อนที่จะไปตรงนั้น บีมคิดว่าการอธิบายในเรื่องเซลล์และร่างกายของมนุษย์ในมุมมองของ Dr.Bruce Lipton ที่ Seppo ได้นำส่วนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ของท่านมาลงไว้ค่ะ

กล่าวโดยสรุปว่า ร่างกายของคนนั้น ไม่ใช่เป็นร่างกายเดี่ยว ๆ อย่างที่เราเห็น หากเรามองให้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว

ร่างกายคือ "ชุมชนของเซลล์อัจฉริยะที่ทำงานประสานกันภายใต้การควบคุมของระบบประสาท"

เค้าบอกว่า เซลล์ในร่างกายคนหนึ่งคนมีประมาณ 50 ล้านล้านเซลล์

ทุกเซลล์นั้นล้วนเป็นอัจฉริยะ ไม่ใช่ เบ้ของเรา แต่ทำงานด้วยความภักดีต่อ "ความรู้สึกนึกคิดของเรา" และ "จิตใต้สำนึกของเรา"

ที่ว่าเซลล์เป็นอัจฉริยะนั้น เพื่อน ๆ ก็ทราบว่า เมื่อนำเซลล์ออกมาวางในห้องทดลองและให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เซลล์จะสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ จนเติบโตขึ้นได้เอง ดังนั้น การโคลนนิ่งจึงประสบความสำเร็จ หรือแม้แต่ความรู้ด้าน stem cell ก็ล้วนแล้วแต่สะท้อนถึงความฉลาดของเซลล์

Dr.Bruce ยังเปรียบเทียบอีกว่า ระบบประสาทนั้นทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองหรือรัฐบาล ควบคุมและประสานงานการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย

และจิตใจเป็นตัวที่จะวัดว่า
"การปกครองหรือการจัดการของเราต่อเซลล์นั้นเป็นไปในทิศทางใด"

เราเป็นผู้ปกครองที่เอาแต่ใจตัวเอง ชอบโกรธ ชอบคิดลบ ชอบกล่าวร้าย ชอบอิจฉาริษยา ชอบว่าตัวเอง หรือ

เราเป็นผู้ปกครองที่คิดถึงสิ่งต่าง ๆ ในแง่บวก สร้างสรรค์ พูดและคิดถึงแต่สิ่งที่ดี เคารพตัวเอง

ถามคำถามนี้กับตัวเองสิคะ

และคำตอบก็มองไปที่ร่างกายของเรานั่นแหละค่ะ ร่างกายหรือ "ชุมชนเซลล์อัจฉริยะ" เป็นสิ่งที่แสดงได้ชัดเจนที่สุดถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจ

บางคน สิ่งเหล่านี้สามารถกลบเกลื่อนได้ด้วยศัลยกรรม
แต่ว่า ในใจของแต่ละคนรู้ดีว่า เค้ามีปัญหาอะไรอยู่ข้างใน

หลอกตัวเองหลอกไม่ได้ค่ะ

แต่เราไม่ต้องเปรียบเทียบกับคนอื่นค่ะ เรามองที่ลู่วิ่งของตัวเอง และไปให้ไกลจากคนเดิมที่เราเคยเป็นจะดีกว่า

เ้ข้าเรื่องต่อนะคะ Dr.Bruce ยังบอกว่า ความคิดของเรานั้นจะถูกส่งผ่านไปยังเซลล์โดยผ่านสารสื่อประสาท และ เคมีทางประสาท

ซึ่งเมื่อคุณโกรธ เซลล์เค้าจะรับรู้ได้

หากนึกไม่ออกว่าเป็นอย่างไร ลองนึกถึงว่า เวลาเราโกรธมา น้องของเราที่นั่งฟังเพลงอยู่ดี ๆ เห็นเราแล้วยังไม่สบายใจเลย และยิ่งถ้าเราพูดถึงเรื่องที่เราโกรธ เค้าก็อาจจะโกรธตามก็ได้

เซลล์ก็เหมือนน้องของคุณค่ะ

หากคุณโกรธ เค้าไม่มีภูมิคุ้มกันมาบอกว่า "ไม่เอา ฉันไม่โกรธด้วยหรอก" ค่ะ หากคุณโกรธ เค้าจะตอบสนอง

หน้าเราเลยแดง หัวใจเราเลยเต้นเร็วไงคะ และสารสื่อประสาททำงานต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่

บางคนเชียร์บอลก็เลยหัวใจวายได้ แบบนั้นล่ะค่ะ

อย่าคิดเอาตัวเองแยกออกจากเซลล์ เพราะิจริง ๆ แล้วตัวเราไม่มีหรอก เราเป็นเพียงแค่ "เซลล์ 50 ล้านล้านเซลล์มาอยู่รวมกัน ทำงานร่วมกัน และเราก็มีจิตที่ส่งเรามาเกิดในร่างนี้ อันเรียกรวมกันทั้งหมดว่า ขันธ์ 5" เท่านั้นเองค่ะ (อันนี้บีมเขียนเอง ไม่เกี่ยวกับ Dr.Bruce ค่ะ)

ดังนั้น เราควรต้องทะนุบำรุงเซลล์ของเราให้มีสุขภาพจิตดี ด้วยการรู้สึกควบคุมความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง

เมื่อใดที่เราคิดลบ น้องเราก็เศร้า ก็หดหู่
เมื่อใดที่เราคิดบวก น้องเราก็มีความหวัง มีกำลังใจตามไปด้วย

และลองคิดดูสิคะว่า สมมติว่าถ้าลูกน้องเราทั้งหมด 50 ล้านล้านคน เป็นคนคิดบวก ทำงานเต็มประสิทธิภาพ มีความหวัง มีกำลังใจ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี หัวหน้าไม่จู้จี้จุกจิก ไม่ขี้โมโห ไม่ขี้ิอิจฉา ไม่ชอบด่าว่าร้าย

บริษัทของคุณจะรุ่งเรืองขนาดไหน

และเห็นภาพมั้ยคะ ว่าร่างกายเราจะแข็งแรง มีพลัง มีชีวิตชีวาได้มากมายขนาดไหนหากเรา "เลือกคิดในแง่ดีและแง่บวก"

บีมขอยกข้อมูลของ Seppo เกี่ยวกับหน้าที่ของจิตใต้สำนึกนะคะ เพื่อน ๆ จะได้เห็นภาพว่ามันจะมาเกี่ยวกับเรายังไง
  • ควบคุมการทำงานระบบร่างกายทั้งหมด เพราะเราหายใจโดยที่ไม่ต้องคิด หัวใจสูบฉีดเลือดโดยที่ไม่ต้องสั่ง ทุกอย่างทำงานอัตโนมัติหมด ก็ด้วยจิตใต้สำนึก
  • กิจกรรมต่าง ๆ ที่เราทำส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยจิตใต้สำนึก ยกตัวอย่างเช่น คนที่พิมพ์คอมเร็วมาก โดยไม่ได้ดูแป้น การไปถึงที่ทำงาน และยังไม่ทันคิดอะไร ขาก็พาไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดคอม เสียแล้ว หรือเวลาที่คนอกหัก แล้วเดินกลางสายฝน เดินไปเรื่อย ๆ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยปราศจากการคิด หรือการใช้จิตสำนึก แต่ทำตามที่จิตใต้สำนึกสั่งมา
  • จิตใต้สำนึกเก็บทุกประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต หากเราย้อนนึกอดีตดี ๆ เราจะ่ค่อย ๆ จำได้อย่างแม่นยำ ทั้งภาพทั้งเสียง ความรู้สึกต่าง ๆ และการที่จิตแพทย์ช่วยทำสะกดจิตบำบัดอาการให้ ก็ด้วยใช้ประโยชน์ข้อนี้ของจิตใต้สำนึกในฐานะ ฮาร์ดไดรฟ์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
  • การเลือกเอาเฉพาะสิ่งที่เราโฟกัสเข้ามาสู่ความสนใจของเรา
ข้อที่ Seppo บอกว่ามันเกี่ยวข้องกับการรักษาสิวนั้น คือข้อ 2. และ ข้อ 4.

ในข้อ 2. นี้ หมายถึงว่า การที่จะสร้างนิสัยอะไรบางอย่างให้เกิดขึ้นในชีวิตเรา ขั้นแรกมันจะผ่านจิตสำนึกก่อน โดยที่จิตสำนึกเราจะเป็นคนที่ฝึกหัดให้เราทำจนคล่อง พอเราทำได้เมื่อไหร่ จิตสำนึกจะส่งข้อมูลนั้นไปที่จิตใต้สำนึกทันที เพื่อเคลียร์พื้นที่ให้จิตสำนึกได้เรียนรู้และโฟกัสอะไรใหม่ ๆต่อไป เพราะจิตสำนึกมีข้อจำกัดในการประมวลผลและทำงานได้ทีละอย่าง

ดังนั้น หากให้จิตสำนึกทำงานหมดทุกอย่าง เวลาจะกินกาแฟ เรายังต้องมาใช้สมองคิดว่า ใส่อะไรยังไง ถ้าเป็นแบบนี้ เราคงไม่เหลือพื้นที่สมองให้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้แน่ๆ

ดังนั้น การจะสร้างนิสัยใหม่ ๆ เช่นการไม่ว่าตัวเองว่าเป็นสิวแ้ล้วโดนรังเกียจ การไม่บีบสิว การไม่มองกระจกตอกย้ำตัวเองบ่อยๆ นั้น ช่วงแรกต้องอาัศัยจิตสำนึกเตือนตัวเอง หรือสะกดจิตตัวเองก่อนในช่วงก่อนนอนว่า เราจะเป็นที่รักของคนอื่น เราจะมีหน้าที่สุขภาพดี คือให้คิดภาพชัดเจนที่สุด คิดถึงความรู้ึสึกยินดีที่จะเกิดขึ้นเมื่อเรามีผิวที่ดีแล้ว คนยิ่งได้ภาพและความรู้สึกมากเท่าใด ก็ยิ่งจะทำให้การกระทำของเรามุ่งไปหาเป้าหมายนั้นมากเท่านั้น

บีมจึงแนะนำว่า ให้เอารูปสวยๆ หล่อ ๆของตัวเองมาลบรอยทั้งหมดด้วย photoshop แล้วเอาติดกระเป๋าหรือเอาไว้บนหัวนอน และต้องดูทุกคืน บอกตัวเองในแง่บวกทุกวัน ก่อนนอนและตื่นเช้ามา ต้องยิ้มให้ตัวเอง แล้วบอกตัวเองว่า สิวเรื่องเล็ก ถ้าชั้นทำถูกวิธีแล้ว เดี๋ยวก็หาย

และอย่าคาดหวังผลลัพธ์ ไม่งั้นเราจะเหนื่อยและท้อ เราต้องสร้าง "เหตุปัจจัย" ทุกวัน ทานผักฤทธิ์เย็น นั่งสมาธิ ออกกำลังกาย ไปสูดอากาศบริสุทธิ์และเจอแสงแดดบ้าง และนอนหลับให้พอ (เค้าว่าให้นอนประมาณสี่ทุ่มน่ะค่ะ เพราะตับจะได้พักผ่อน)

ส่วนข้อ 4. นั้น อย่างที่บีมเคยอธิบายคือ ถ้าหากเรามุ่งไปที่ "สิว" เราก็จะมองเห็นแต่สิวของตัวเอง และจะเกิดอารมณ์เครียด แต่ถ้าหากเรามุ่งไปที่ "เหตุปัจจัย" และ "ผลลัพธ์สุดท้าย" คือ หน้าใส แทน เราก็จะมองเห็นแต่ ผลไม้สด ผักสด การทำจิตใจให้สงบ

ต้องเลือกว่า เราจะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา โดยเป็นสาเหตุของสิวด้วยความเครียดที่เกิดจากการมองสิว
หรือ จะเป็นส่วนหนึ่งของทางแก้ปัญหา คือ มุ่งสรางเหตุปัจจัยโดยไม่คาดหวังผล เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อมีเหตุปัจจัย ผลลัพธ์ย่อมต้องเกิดแน่นอน







ความคิดเห็น