ขั้นตอนแรกที่ต้องทำ: ปรับวิธีคิดให้ถูกต้องในการรักษาผิวเป็นสิว
หนึ่งในมรรค ๘ ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้และเป็นธรรมข้อแรก ๆเลยคือ ดำริชอบ
ดำริชอบ หมายถึง การตั้งความเห็นให้ตรง
คำว่า "ตรง" นั้นหมายถึง "ตรงกับความเป็นจริง"
เพราะโดยปกติแล้วคนเรามักจะมี "เลนส์" แว่นตาส่วนตัวใช้มองโลก ซึ่งขนาดสิ่งเดียวกันแท้ ๆ ยังมองได้ต่างกัน ยกตัวอย่างนะคะ
ติง กับ ต๊อง เป็นเพื่อนกัน และได้ไปเดินที่สยามด้วยกัน
พอไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ติงหันขวับเลย และบอกต๊องว่า "น่ารักสุดๆ" เลยว่ะ
พอต๊องหันไปมองบ้าง ก็บอกว่า "กูไม่ชอบผู้หญิงผมซอยว่ะ ดูทอม ๆ ยังไงก็ไม่รู้"
ซึ่งถ้าทั้ง 2 คนนี้เห็นตามจริง ก็จะเห็นว่า สิ่งที่เขาสองคนเห็นอยู่นี้ เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผมสั้น ตัวสูง และผอม ก็เท่านั้นเองค่ะ
เห็นมั้ยคะ ว่า สิ่งที่เป็นจริง นั้น สามารถถูกบิดเบือนได้ด้วย "เลนส์" ที่แต่ละคนมี
คราวนี้ มันจะมาเกี่ยวกับสิวยังไง
หากมองตามจริง มองแล้วก็คิดหาวิธีแก้ไข ไม่ต้องเก็บมาเป็นอารมณ์ ถ้าหากเราแก้ถูกทาง เดี๋ยวมันก็จะหายไปเอง
ยกตัวอย่างนะคะ
สมมติว่า แฟนเราเนี่ย ขี้งอนสุด ๆ ซึ่ง คน 2 คนที่มีเลนส์ต่างกัน จะมีวิธีมองและวิธีแก้ปัญหาต่างกัน ซึ่งทำให้ผลลัพธ์ต่างกันด้วยค่ะ
คนแรก มองว่า มันเป็นธรรมชาติของเค้า และคงเป็นเพราะเราดูไม่ค่อยใส่ใจมั้ง เค้าเลยเรียกร้องความสนใจ เค้าก็เลยส่งสัญญาณว่า "มาดูแลหัวใจชั้นบ้างสิ ทำแต่งาน" แล้วเราก็เห็นว่า เออ...ช่วงก่อนนี้ยุ่งจริง ๆ ด้วย เธอคงจะเหงา
เขาก็เลยแก้ปัญหาด้วยการจัดวันหยุดให้เป็นวันของทั้งคู่ ออกไปทำอะไรเหมือนกับตอนที่รู้จัักกันใหม่ ๆ และใส่ความรู้สึกดี ๆ ให้เต็มที่
ผลลัพธ์ คือ แฟนเราก็รู้สึกมั่นใจ มั่นคง อาการขี้งอนก็เริ่มหายไป ส่วนเราก็รู้สึกดีที่เค้ามีความสุข สรุปว่าเป็น win-win
ส่วนอีกคนหนึ่ง มองว่า ทำไมยายนี่มันขี้งอนจังเนี่ย นี่ทุกวันทำงานหัวฟูก็เพื่ออนาคตของเราสองคนนะเนี่ย โอ๊ยดูสิ ทำหน้าเป็นตูดเป็ดอีกแล้ว จะอยากไปไหนนักหนาเนี่ย
พอเค้าคิดแบบนี้ เดี๋ยวก็จะมีเรื่องให้ทะเลาะกัน เพราะผู้ชายอยากทำงาน ผู้หญิงก็รู้สึกเหงา และก็อาจไปมีกิ๊กประชดซะเลย
ผลลัพธ์ คือ เสียความรู้สึกทั้งคู่ และอาจถึงขั้นต้องเลิกกัน
เอาละ เมื่อเพื่อน ๆ เริ่มเห็นภาพชัดแล้ว คราวนี้มาดูเรื่องสิวกันบ้าง
ถ้าถามว่า สิวเป็นเรื่องธรรมชาติมั้ย ขอบอกว่า เป็นเรื่องธรรมชาติของโรคค่ะ
เป็นธรรมชาติตรงที่ว่า เป็น"ผล" ที่เกิดขึ้นแต่ "เหตุู"
ธรรมชาติ คือ "ทุกอย่างต้องมีเหตุปัจจัย"
แต่เหตุปัจจัยของสิวนั้น คือ อะไร
จากที่เราเรียนรู้แล้วว่า คนเราแต่ละคน"มีเลนส์ต่างกัน"
มันจึงเป็นที่มาของ "แนวคิด" ของหลายสำนัก
แพทย์แผนปัจจุบันก็จะอธิบายแบบนึง แพทย์แผนโบราณก็จะอธิบายแบบนึง แพทย์ทางเลือกก็อาจจะอธิบายอย่างนึง
ไม่ต้องสับสนค่ะ
ลองตรวจสอบด้วยตัวเองดูว่า สิ่งที่เค้าพูดกันนั้น จริงแท้อย่างไร
หากเราได้ลองฟัง ลองคิด ลองปฏิบัติดูแล้ว มันไม่เป็นเช่นนั้น เราก็ละเส้นทางหรือแนวคิดนั้นเสีย แ้ล้วก็ลองดูสิว่า อันไหนที่มีเหตุมีผลหรือได้ผลกับตัวเราจริง ๆ
ในมุมมองเล็ก ๆ ของบีม
จากประสบการณ์ที่เ็ป็นสิวมาหลายสิบปี และได้หาหมอแผนปัจจุับันมาตลอด
บีมไม่เคยรู้เลยว่า ต้นเหตุของสิวคืออะไรกันแน่ และทำไมฮอร์โมนเราถึงไม่สมดุล มันแก้ไม่ได้เลยเหรอ หรือว่ายีนกำหนดให้เป็นเช่นนั้น
คือบีมจะเป็นคนที่มีคำถามเยอะมาก และจะไม่ยอมถอยถ้ายังไม่ได้คำตอบ แต่ไม่ได้ดันทุรังจะเอาเดี๋ยวนั้น
แต่อาศัยว่า เรามีเป้าหมายว่า สิวจะต้องหายด้วยวิธีธรรมชาติ และเชื่อว่า ธรรมชาติเท่านั้นที่ดีที่สุด
เมื่อเรามีจุดมุ่งหมายชัดเจน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแสนนานแค่ไหน
จิตใต้สำนึกของเรา ก็จะผลักดันให้เราเข้าไปใกล้สิ่งที่เรามุ่งหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ
บีมเคยล้ม หมายถึง หน้าพังไม่เป็นท่า
แต่บีมก็ไม่เคยหมดหวัง
มันอยู่ที่เราว่า เราต้องการที่จะใช้และให้ธรรมชาติเยียวยาจริง ๆ หรือไม่ เราเชื่อเช่นนั้นหรือไม่
หากเราเชื่อ ในวันหนึ่งมันจะเป็นจริงแน่นอนค่ะ
ส่วนเรื่องสาเหตุของสิวนั้น มันเป็นสาเหตุที่ต่างเติมเชื้อไฟให้กันค่ะ
สมมติว่า เราอายุ 13 แล้วยังไม่เ็ป็นสิวนะคะ
แต่ถ้าหากชอบกินเบเกอรี่ ชอบกินนม ผักสดไม่แตะ แล้ววันหยุดก็ไปกินพิซซ่ากับเพื่อน เที่ยวเล่นจนดึก
ทำมาหนึ่งปี อายุ 14 หน้ายังใสอยู่ แต่เริ่มเป็นภูมิแพ้ ก็ไปรักษาภูมิแพ้
ซึ่งจริง ๆ แ้ล้วมันเป็นสัญญาณขับพิษออกจากร่างกายค่ะ แต่มันขับออกไม่ไหว เลยแสดงออกมาในรูปของภูมิแพ้ แต่เราก็ยังไ่ม่ฟังร่างกายตัวเอง
พออายุ 15 สิวเริ่มปูด หน้าเริ่มมัน ภูมิแพ้ก็เป็น ก็ไปหาทั้งหมอสิว และหมอภูมิแพ้
และยังไม่ตระหนักว่า กิจวัตรประจำวันและลักษณะการทานอาหารของเรานั่นแหละที่เป็นสาเหตุของทั้งสิวและภูมิแพ้
คราวนี้ ได้รับทั้งอาหารเป็นพิษ (ฤทธิ์ร้อนสูง) ทั้งยา (สารเคมีที่มีฤทธิ์ร้อนสูง) แต่ยานี้ดันทำให้ต่อมไขมันไม่ค่อยทำงาน สิวเลยไม่ขึ้น เราก็คิดว่ามันหาย
พอเลิกหาหมอ อ้าว...ไหงขึ้นมากกว่าเดิม
เห็นมั้ยคะ ว่าเหมือนในชีวิตจริงเลย
นั่นเป็นเพราะอะไร Seppo เค้าเปรียบเทียบกับปราสาทสมัยกลางค่ะ (ซึ่งบีมเคยเปรียบเทียบเหมือนกับเมืองเก่าสมัยอยุธยา)
ว่า สภาพร่างกายของคนเรานั้น ถ้าหากเป็นคนไม่ป่วย เหมือนกับบ้านเมืองที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดี ทหารกินอิ่ม นอนหลับ จิตใจไม่เครียด แม้จะมีโจรเข้ามาบ้าง แต่ทหารที่เข้มแข็งและกำลังใจเต็มร้อยก็จัดการได้ทันก่อนที่มันจะมาำร้ายคนในวัง
แต่ชีวิตของคนในปัจจุบันนี้ ประหนึ่งว่า อยุธยามีข้าศึกมาจากทั้งทิศเหนือ ใต้ ออก ตก มีแต่กบฎทั้งนั้น
หลั่งไหลกันมาไม่ขาดสาย (อนุมูลอิสระ ทั้งจากอาหารฤทธิ์ร้อน ความเครียด มลภาวะในอากาศ ในน้ำ การใช้ยา ฯลฯ)
ทหารของเราต้องป้องกันเมืองตลอดทั้งวันทั้งคืน ในขณะที่จำนวนข้าศึกเพิ่มเป็นสิบเท่าทวีคูณ
ทหารก็ได้พักผ่อนน้อยลง ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นนอกจากศึกสงคราม ต้องผลัดเวรกันมารบไม่สิ้นสุด ย่อมมีแรงลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ
ในที่สุด เราก็พ่ายแพ้ ข้าศึกเปิดประตูเมืองได้
ซึ่งในจุดนี้ คนแต่ละคน ก็จะแสดงอาการต่างกัน
บางคนเป็นสิว บางคนเป็นไมเกรน บางคนเป็นเบาหวาน บางคนเป็นมะเร็ง
เห็นมั้ยคะ ว่าเราโชคดีกันสุด ๆ แล้วที่เป็นสิว
เพราะถือว่า สังเกตเห็นได้ง่ายและชัดเจนที่สุด และจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที
ในขณะที่คนอื่น ๆ ที่สังเกตเห็นอาการยาก
กว่าจะไปหาคุณหมอก็สายเสียแล้ว....
บีมอยากให้ทุกคนมองว่า
เป็นเพราะ จิตใต้สำนึกของเรา ไม่มีการกลั่นกรองว่าอะไรดีหรือไม่ดี
มันจะเก็บสะสมทุกอย่างจากประสบการณ์ของเรา
เคยสังเกตมั้ยคะ ว่า ถ้าเราอยากกินอะไรมาก ๆ เดี๋ยวขาเราจะพาไปเอง หรือแม้แต่ขับรถ มันจะเลี้ยวไปที่ที่เราชอบแทนการไปกินอย่างอื่น
หรือ เราเคยอารมณ์เสียตอนเช้า มันก็เหมือนจะมีเรื่องแย่ ๆเกิดขึ้นทั้งวัน
หรือ เราเกลียดผู้ชายลักษณะนี้ อย่าได้มาเป็นแฟนเราเชียว เราำพร่ำบอกตัวเองว่า ไม่เอานะ ผู้ชายแบบนี้ แต่ในที่สุด คำว่า "ยิ่งเกลีดยิ่งเจอ" ก็เข้าตัว ได้คนแบบนั้นมาเป็นแฟนซะ
นี่ล่ะค่ะ การทำงานของจิตใต้สำนึก
เค้าจะพาเราพุ่งไปหาสิ่งที่เราย้ำคิดย้ำทำอยู่เสมอ
เค้าไม่รู้จักคำว่าดีหรือไม่ดีหรอก
เค้าจะแปลภาพในหัวเราออกมาเป็นการกระทำ
ดังนั้น จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม หากเรา มุ่งเน้นไปที่สิวของเรา แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างเหตุ เช่น การทำจิตใจให้สงบเพื่อควบคุมอวัยวะภายในให้ทำงานเป็นปกติ ไม่รุ่มร้อน เพื่อจะได้ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ได้ทำงานน้อยลง เพื่อเป็นการรักษาพลังงานไว้ฟื้นฟูซ่อมแซมอวัยวะต่าง ๆ หรือ การทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานอาหารฤทธิ์เย็น
หากมุ่งเน้นที่สิว ย้ำคิดย้ำทำ บีบมันทั้งวัน
มันก็จะยิ่งขึ้นเท่านั้นเองค่ะ
ดังนั้น สำคัญมากที่ต้องคิดในแง่บวก เพื่อนแซวมาก็ทำขำ ๆ กลับไป
การทำขำ ๆ นี้นอกจาก จะเบี่ยงเบนให้เพื่อนของเราออกจากประเด็นสิวแล้วนะคะ ยังทำให้เราเป็นที่รักที่น่าจดจำของกลุ่มได้ด้วยนะคะ
และที่บีมอยากแนะนำคือ หากใครมี Photoshop แนะนำให้เอารูปสวย ๆ หล่อ ๆของตัวเองมา แล้วเอามาลบสิว ลบฝ้าออกให้หมด และเอามาดูทุกคืนค่ะ บอกตัวเองว่า ฉันจะสวยแล้วนะ
ดำริชอบ หมายถึง การตั้งความเห็นให้ตรง
คำว่า "ตรง" นั้นหมายถึง "ตรงกับความเป็นจริง"
เพราะโดยปกติแล้วคนเรามักจะมี "เลนส์" แว่นตาส่วนตัวใช้มองโลก ซึ่งขนาดสิ่งเดียวกันแท้ ๆ ยังมองได้ต่างกัน ยกตัวอย่างนะคะ
ติง กับ ต๊อง เป็นเพื่อนกัน และได้ไปเดินที่สยามด้วยกัน
พอไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ติงหันขวับเลย และบอกต๊องว่า "น่ารักสุดๆ" เลยว่ะ
พอต๊องหันไปมองบ้าง ก็บอกว่า "กูไม่ชอบผู้หญิงผมซอยว่ะ ดูทอม ๆ ยังไงก็ไม่รู้"
ซึ่งถ้าทั้ง 2 คนนี้เห็นตามจริง ก็จะเห็นว่า สิ่งที่เขาสองคนเห็นอยู่นี้ เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผมสั้น ตัวสูง และผอม ก็เท่านั้นเองค่ะ
เห็นมั้ยคะ ว่า สิ่งที่เป็นจริง นั้น สามารถถูกบิดเบือนได้ด้วย "เลนส์" ที่แต่ละคนมี
คราวนี้ มันจะมาเกี่ยวกับสิวยังไง
หากมองตามจริง มองแล้วก็คิดหาวิธีแก้ไข ไม่ต้องเก็บมาเป็นอารมณ์ ถ้าหากเราแก้ถูกทาง เดี๋ยวมันก็จะหายไปเอง
ยกตัวอย่างนะคะ
สมมติว่า แฟนเราเนี่ย ขี้งอนสุด ๆ ซึ่ง คน 2 คนที่มีเลนส์ต่างกัน จะมีวิธีมองและวิธีแก้ปัญหาต่างกัน ซึ่งทำให้ผลลัพธ์ต่างกันด้วยค่ะ
คนแรก มองว่า มันเป็นธรรมชาติของเค้า และคงเป็นเพราะเราดูไม่ค่อยใส่ใจมั้ง เค้าเลยเรียกร้องความสนใจ เค้าก็เลยส่งสัญญาณว่า "มาดูแลหัวใจชั้นบ้างสิ ทำแต่งาน" แล้วเราก็เห็นว่า เออ...ช่วงก่อนนี้ยุ่งจริง ๆ ด้วย เธอคงจะเหงา
เขาก็เลยแก้ปัญหาด้วยการจัดวันหยุดให้เป็นวันของทั้งคู่ ออกไปทำอะไรเหมือนกับตอนที่รู้จัักกันใหม่ ๆ และใส่ความรู้สึกดี ๆ ให้เต็มที่
ผลลัพธ์ คือ แฟนเราก็รู้สึกมั่นใจ มั่นคง อาการขี้งอนก็เริ่มหายไป ส่วนเราก็รู้สึกดีที่เค้ามีความสุข สรุปว่าเป็น win-win
ส่วนอีกคนหนึ่ง มองว่า ทำไมยายนี่มันขี้งอนจังเนี่ย นี่ทุกวันทำงานหัวฟูก็เพื่ออนาคตของเราสองคนนะเนี่ย โอ๊ยดูสิ ทำหน้าเป็นตูดเป็ดอีกแล้ว จะอยากไปไหนนักหนาเนี่ย
พอเค้าคิดแบบนี้ เดี๋ยวก็จะมีเรื่องให้ทะเลาะกัน เพราะผู้ชายอยากทำงาน ผู้หญิงก็รู้สึกเหงา และก็อาจไปมีกิ๊กประชดซะเลย
ผลลัพธ์ คือ เสียความรู้สึกทั้งคู่ และอาจถึงขั้นต้องเลิกกัน
เอาละ เมื่อเพื่อน ๆ เริ่มเห็นภาพชัดแล้ว คราวนี้มาดูเรื่องสิวกันบ้าง
ถ้าถามว่า สิวเป็นเรื่องธรรมชาติมั้ย ขอบอกว่า เป็นเรื่องธรรมชาติของโรคค่ะ
เป็นธรรมชาติตรงที่ว่า เป็น"ผล" ที่เกิดขึ้นแต่ "เหตุู"
ธรรมชาติ คือ "ทุกอย่างต้องมีเหตุปัจจัย"
แต่เหตุปัจจัยของสิวนั้น คือ อะไร
จากที่เราเรียนรู้แล้วว่า คนเราแต่ละคน"มีเลนส์ต่างกัน"
มันจึงเป็นที่มาของ "แนวคิด" ของหลายสำนัก
แพทย์แผนปัจจุบันก็จะอธิบายแบบนึง แพทย์แผนโบราณก็จะอธิบายแบบนึง แพทย์ทางเลือกก็อาจจะอธิบายอย่างนึง
ไม่ต้องสับสนค่ะ
ลองตรวจสอบด้วยตัวเองดูว่า สิ่งที่เค้าพูดกันนั้น จริงแท้อย่างไร
หากเราได้ลองฟัง ลองคิด ลองปฏิบัติดูแล้ว มันไม่เป็นเช่นนั้น เราก็ละเส้นทางหรือแนวคิดนั้นเสีย แ้ล้วก็ลองดูสิว่า อันไหนที่มีเหตุมีผลหรือได้ผลกับตัวเราจริง ๆ
ในมุมมองเล็ก ๆ ของบีม
จากประสบการณ์ที่เ็ป็นสิวมาหลายสิบปี และได้หาหมอแผนปัจจุับันมาตลอด
บีมไม่เคยรู้เลยว่า ต้นเหตุของสิวคืออะไรกันแน่ และทำไมฮอร์โมนเราถึงไม่สมดุล มันแก้ไม่ได้เลยเหรอ หรือว่ายีนกำหนดให้เป็นเช่นนั้น
คือบีมจะเป็นคนที่มีคำถามเยอะมาก และจะไม่ยอมถอยถ้ายังไม่ได้คำตอบ แต่ไม่ได้ดันทุรังจะเอาเดี๋ยวนั้น
แต่อาศัยว่า เรามีเป้าหมายว่า สิวจะต้องหายด้วยวิธีธรรมชาติ และเชื่อว่า ธรรมชาติเท่านั้นที่ดีที่สุด
เมื่อเรามีจุดมุ่งหมายชัดเจน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแสนนานแค่ไหน
จิตใต้สำนึกของเรา ก็จะผลักดันให้เราเข้าไปใกล้สิ่งที่เรามุ่งหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ
บีมเคยล้ม หมายถึง หน้าพังไม่เป็นท่า
แต่บีมก็ไม่เคยหมดหวัง
มันอยู่ที่เราว่า เราต้องการที่จะใช้และให้ธรรมชาติเยียวยาจริง ๆ หรือไม่ เราเชื่อเช่นนั้นหรือไม่
หากเราเชื่อ ในวันหนึ่งมันจะเป็นจริงแน่นอนค่ะ
ส่วนเรื่องสาเหตุของสิวนั้น มันเป็นสาเหตุที่ต่างเติมเชื้อไฟให้กันค่ะ
สมมติว่า เราอายุ 13 แล้วยังไม่เ็ป็นสิวนะคะ
แต่ถ้าหากชอบกินเบเกอรี่ ชอบกินนม ผักสดไม่แตะ แล้ววันหยุดก็ไปกินพิซซ่ากับเพื่อน เที่ยวเล่นจนดึก
ทำมาหนึ่งปี อายุ 14 หน้ายังใสอยู่ แต่เริ่มเป็นภูมิแพ้ ก็ไปรักษาภูมิแพ้
ซึ่งจริง ๆ แ้ล้วมันเป็นสัญญาณขับพิษออกจากร่างกายค่ะ แต่มันขับออกไม่ไหว เลยแสดงออกมาในรูปของภูมิแพ้ แต่เราก็ยังไ่ม่ฟังร่างกายตัวเอง
พออายุ 15 สิวเริ่มปูด หน้าเริ่มมัน ภูมิแพ้ก็เป็น ก็ไปหาทั้งหมอสิว และหมอภูมิแพ้
และยังไม่ตระหนักว่า กิจวัตรประจำวันและลักษณะการทานอาหารของเรานั่นแหละที่เป็นสาเหตุของทั้งสิวและภูมิแพ้
คราวนี้ ได้รับทั้งอาหารเป็นพิษ (ฤทธิ์ร้อนสูง) ทั้งยา (สารเคมีที่มีฤทธิ์ร้อนสูง) แต่ยานี้ดันทำให้ต่อมไขมันไม่ค่อยทำงาน สิวเลยไม่ขึ้น เราก็คิดว่ามันหาย
พอเลิกหาหมอ อ้าว...ไหงขึ้นมากกว่าเดิม
เห็นมั้ยคะ ว่าเหมือนในชีวิตจริงเลย
นั่นเป็นเพราะอะไร Seppo เค้าเปรียบเทียบกับปราสาทสมัยกลางค่ะ (ซึ่งบีมเคยเปรียบเทียบเหมือนกับเมืองเก่าสมัยอยุธยา)
ว่า สภาพร่างกายของคนเรานั้น ถ้าหากเป็นคนไม่ป่วย เหมือนกับบ้านเมืองที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดี ทหารกินอิ่ม นอนหลับ จิตใจไม่เครียด แม้จะมีโจรเข้ามาบ้าง แต่ทหารที่เข้มแข็งและกำลังใจเต็มร้อยก็จัดการได้ทันก่อนที่มันจะมาำร้ายคนในวัง
แต่ชีวิตของคนในปัจจุบันนี้ ประหนึ่งว่า อยุธยามีข้าศึกมาจากทั้งทิศเหนือ ใต้ ออก ตก มีแต่กบฎทั้งนั้น
หลั่งไหลกันมาไม่ขาดสาย (อนุมูลอิสระ ทั้งจากอาหารฤทธิ์ร้อน ความเครียด มลภาวะในอากาศ ในน้ำ การใช้ยา ฯลฯ)
ทหารของเราต้องป้องกันเมืองตลอดทั้งวันทั้งคืน ในขณะที่จำนวนข้าศึกเพิ่มเป็นสิบเท่าทวีคูณ
ทหารก็ได้พักผ่อนน้อยลง ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นนอกจากศึกสงคราม ต้องผลัดเวรกันมารบไม่สิ้นสุด ย่อมมีแรงลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ
ในที่สุด เราก็พ่ายแพ้ ข้าศึกเปิดประตูเมืองได้
ซึ่งในจุดนี้ คนแต่ละคน ก็จะแสดงอาการต่างกัน
บางคนเป็นสิว บางคนเป็นไมเกรน บางคนเป็นเบาหวาน บางคนเป็นมะเร็ง
เห็นมั้ยคะ ว่าเราโชคดีกันสุด ๆ แล้วที่เป็นสิว
เพราะถือว่า สังเกตเห็นได้ง่ายและชัดเจนที่สุด และจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที
ในขณะที่คนอื่น ๆ ที่สังเกตเห็นอาการยาก
กว่าจะไปหาคุณหมอก็สายเสียแล้ว....
บีมอยากให้ทุกคนมองว่า
- เราโชคดีแล้วที่เป็นแค่สิว
- มันหายได้เพียงแค่เราปรับสมดุลร่างกายให้เหมือนกับตอนที่เราเกิดมาใหม่ ๆ หรือตอนเป็นเด็ก
- เราเคยเป็นแบบนั้นได้ เราก็ต้องกลับไปเป็นแบบนั้นได้
- ทุกอย่างเกิดแต่เหตุปัจจัย หากเราสร้างสุขภาพที่แข็งแรงอันเป็นเหตุปัจจัยของการสิวหายแล้ว ระหว่างทานไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จงอย่าเก็บมาเป็นอารมณ์ เพราะเมื่อเราสร้างเหตุปัจจัยที่ถูกต้องแล้ว ในที่สุด ผลลัพธ์ืคือสิวหายก็จะเกิดขึ้นเอง
- บีมถึงบอกว่า "อย่าส่องกระจกบ่อย ๆ" เพราะมีแต่จะย้ำให้สิวยิ่งมากขึ้นก็เท่านั้นเองค่ะ
เป็นเพราะ จิตใต้สำนึกของเรา ไม่มีการกลั่นกรองว่าอะไรดีหรือไม่ดี
มันจะเก็บสะสมทุกอย่างจากประสบการณ์ของเรา
เคยสังเกตมั้ยคะ ว่า ถ้าเราอยากกินอะไรมาก ๆ เดี๋ยวขาเราจะพาไปเอง หรือแม้แต่ขับรถ มันจะเลี้ยวไปที่ที่เราชอบแทนการไปกินอย่างอื่น
หรือ เราเคยอารมณ์เสียตอนเช้า มันก็เหมือนจะมีเรื่องแย่ ๆเกิดขึ้นทั้งวัน
หรือ เราเกลียดผู้ชายลักษณะนี้ อย่าได้มาเป็นแฟนเราเชียว เราำพร่ำบอกตัวเองว่า ไม่เอานะ ผู้ชายแบบนี้ แต่ในที่สุด คำว่า "ยิ่งเกลีดยิ่งเจอ" ก็เข้าตัว ได้คนแบบนั้นมาเป็นแฟนซะ
นี่ล่ะค่ะ การทำงานของจิตใต้สำนึก
เค้าจะพาเราพุ่งไปหาสิ่งที่เราย้ำคิดย้ำทำอยู่เสมอ
เค้าไม่รู้จักคำว่าดีหรือไม่ดีหรอก
เค้าจะแปลภาพในหัวเราออกมาเป็นการกระทำ
ดังนั้น จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม หากเรา มุ่งเน้นไปที่สิวของเรา แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างเหตุ เช่น การทำจิตใจให้สงบเพื่อควบคุมอวัยวะภายในให้ทำงานเป็นปกติ ไม่รุ่มร้อน เพื่อจะได้ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ได้ทำงานน้อยลง เพื่อเป็นการรักษาพลังงานไว้ฟื้นฟูซ่อมแซมอวัยวะต่าง ๆ หรือ การทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานอาหารฤทธิ์เย็น
หากมุ่งเน้นที่สิว ย้ำคิดย้ำทำ บีบมันทั้งวัน
มันก็จะยิ่งขึ้นเท่านั้นเองค่ะ
ดังนั้น สำคัญมากที่ต้องคิดในแง่บวก เพื่อนแซวมาก็ทำขำ ๆ กลับไป
การทำขำ ๆ นี้นอกจาก จะเบี่ยงเบนให้เพื่อนของเราออกจากประเด็นสิวแล้วนะคะ ยังทำให้เราเป็นที่รักที่น่าจดจำของกลุ่มได้ด้วยนะคะ
และที่บีมอยากแนะนำคือ หากใครมี Photoshop แนะนำให้เอารูปสวย ๆ หล่อ ๆของตัวเองมา แล้วเอามาลบสิว ลบฝ้าออกให้หมด และเอามาดูทุกคืนค่ะ บอกตัวเองว่า ฉันจะสวยแล้วนะ
จิตใต้สำนึกจะได้พุ่งไปหาความสวยและสุขภาพดีแทน "ความสิว" ค่ะ
ความคิดเห็น