สาเหตุของสิวแบบเจาะึลึก 1: การอักเสบ
การอักเสบ (Inflammation)
คนที่เป็นสิวทุกคนจะรู้ึสึก "หวาดกลัว" ต่อคำนี้มากเลยใช่มั้ยคะ ค่ะ รวมทั้งบีมด้วย
แต่แท้ที่จริงแล้ว การอักเสบเป็นสิ่งที่ดีสำหรับร่างกายของเรา เพราะเป็นจุดเริ่มต้นในการรักษาส่วนที่ร่างกายบาดเจ็บ ถ้าไม่มีการอักเสบ เราก็จะตายกันเร็วขึ้นค่ะ เพราะไม่มีระบบซ่อมแซมตัวเอง
และการอักเสบโดยธรรมชาตินั้น จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รุนแรง และหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
แต่สำหรับคนในสมัยนี้ที่การทานอาหารและวิถีชีวิตสมัยใหม่ ทำให้เกิดการอักเสบที่ผิดจากที่มันควรจะเป็น นั่นคือ เป็นการอักเสบเรื้อรังและมีความเข้มข้นต่ำ (chronic, low-intensity inflammation)
เจ้าการอักเสบเรื้อรังนี้ คุณ Seppo อธิบายว่า เป็นการตอบสนองต่อ "การบาดเจ็บภายใน"
ซึ่งเค้าเปรียบเทียบว่า ประหนึ่งว่ามี "เศษแก้วเล็กๆๆๆ" หลุดเข้าไปในกระแสเลือดของเรา
เศษแก้วนี้เมื่อล่องลอยไป ก็จะไปบาดเซลล์ของเราให้เป็นแผลในทุก ๆ ที่ที่มันผ่านไป (เค้าว่าเป็นล้าน ๆ รอยบาดเลยค่ะ)
วิดีโอนี้จะทำให้เพื่อน ๆ เห็นภาพว่า มันทำลายเซลล์และบาดเซลล์ของเราอย่างไรค่ะ
ซึ่งคราวนี้ ลองเปลี่ยนเจ้าเศษแก้วเป็นอนุมูลอิสระค่ะ
เห็นรึยังคะ ว่า บาดแผลในเซลล์มันจะมีมากมายขนาดไหน ถ้าหากเพื่อน ๆ ได้รับอนุมูลอิสระผ่านสิ่งต่อไปนี้ค่ะ
ซึ่งนั่นหมายความว่า ทุกขณะเวลา ร่างกายของเราเองก็มีอนุมูลอิสระเกิดขึ้นอยู่แล้ว
ซึ่งโดยปกติ ร่างกายจะสร้างสาร "ต้านอนุมูลอิสระ" ขึ้นมาเพื่อกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นนี้ค่ะ
และก็จะเป็นกลไกปกติที่นำร่างกายเข้าสู่สมดุล
แต่ เนื่องจากชีวิตของคนในปัจจุบันนี้ มีการกินอาหารปรุงแต่งกันมาก กินข้าวขัดขาว กินของที่ผ่านกระบวนการมาหลายขั้นตอน (หรือไ่ม่ใช่ของที่เป็นธรรมชาติโดยแท้ของมัน หรือใกล้เคียง)
และยังมีปัจจัยมากมายที่เรา "ชักศึก" เข้าบ้านมาเป็นเวลานานแสนนาน
ทำให้สารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายผลิตขึ้นเองไม่เพียงพอต่อการกำจัด "ข้าศึก"
ทำให้่ร่างกายของเราเกือบทุกส่วนผุพังในระดับเซลล์เป็นจำนวนมาก
การอักเสบเรื้อรังเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต้องทำการรักษาเซลล์ที่บาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ไปเรื่อย ๆ (เหมือนกับสิวของเราที่ขึ้นมาเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น)
ตัวเรายังหดหู่ได้เลยค่ะ กับสิวที่ขึ้นไม่หยุด
และเพื่อน ๆ ไม่คิดว่า การที่ต้องทำอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทุกวัน ถึงแม้มันจะน้อย แต่ทำบ่อย ๆ มันก็สามารถทำให้รู้สึกเซ็ง และเหนื่อยใจได้เหมือนกันเหรอคะ
ซึ่งการรักษาอาการบาดเจ็บเหล่านี้บ่อย ๆ ถี่ ๆ (หรือที่เรียกว่าการอักเสบเรื้อรัง) จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราโดนกระตุ้นเตือนตลอดเวลา (on high alert) ซึ่งนี่แหละ่ค่ะที่ำทำให้ร่างกายเกิดความเครียดของเค้าเอง และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราทั้งหมดลดลงไปอย่างมาก (เพราะเหนื่อยเหลือเกิน ไม่รู้ว่างานจะเสร็จเมื่อไหร่)
นอกจากภาวะแบบนี้ทำให้เกิดสิวแล้ว ยังนำไปสู่หัวใจวาย โรคเบาหวาน และโรคเรื้อรังอื่น ๆ
และเมื่อระบบภูมิคุ้มกัน (หรือภาษาชีวจิตเค้าเรียกว่า "ภูมิชีวิต" หรือหมอจีนเค้าเรียกว่า "ชี่") อ่อนแอแล้วนั้น ก็จะทำให้แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิวเพิ่มจำนวนเท่าทวีคูณจนเกินกว่าที่เราจะควบคุมได้ และมันก็จะยึดรูขุมขนเราเป็นเขตแดนของมันเลยทีเดียวค่ะ
และนอกจากนี้ การอักเสบเรื้อรัง ยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราเริ่มมีแนวโน้ม Overacting หรือเริ่มตอบสนองสิ่งแปลกปลอมเกินกว่าเหตุ
เรามาทบทวนกันนะคะ
การแกว่งของน้ำตาลในเลือดทำให้เกิดการผลิตน้ำมันจำนวนมากบนหน้า และยังทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน คราวนี้มันมาผสมผสานกับการอักเสบเรื้อรังที่ทำให้ p.acne (แบคทีเรียสาเหตุของสิว) เพิ่มจำนวนตัวเอง ขยายพันธุ์ในรูขุมขนที่อุดตันของเรา และยิ่งผสานเข้ากับพลัง Overacting ของระบบภูมิคุ้มกันของเราที่ทำเกินกว่าเหตุ (เช่นว่า เชื้อโรคมันนิดเดียว ซึ่งใช้มือจับก็คงจะอยู่แล้ว แต่นี่เค้าใช้บาซูก้ายิงกันเลยค่ะ) และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ สิวอุดตันเล็ก ๆ ทั้งหัวดำหัวขาว กลายสภาพสิวหนองขนาดใหญ่และแดงชัดเจน
คนที่เป็นสิวทุกคนจะรู้ึสึก "หวาดกลัว" ต่อคำนี้มากเลยใช่มั้ยคะ ค่ะ รวมทั้งบีมด้วย
แต่แท้ที่จริงแล้ว การอักเสบเป็นสิ่งที่ดีสำหรับร่างกายของเรา เพราะเป็นจุดเริ่มต้นในการรักษาส่วนที่ร่างกายบาดเจ็บ ถ้าไม่มีการอักเสบ เราก็จะตายกันเร็วขึ้นค่ะ เพราะไม่มีระบบซ่อมแซมตัวเอง
และการอักเสบโดยธรรมชาตินั้น จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รุนแรง และหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
แต่สำหรับคนในสมัยนี้ที่การทานอาหารและวิถีชีวิตสมัยใหม่ ทำให้เกิดการอักเสบที่ผิดจากที่มันควรจะเป็น นั่นคือ เป็นการอักเสบเรื้อรังและมีความเข้มข้นต่ำ (chronic, low-intensity inflammation)
เจ้าการอักเสบเรื้อรังนี้ คุณ Seppo อธิบายว่า เป็นการตอบสนองต่อ "การบาดเจ็บภายใน"
ซึ่งเค้าเปรียบเทียบว่า ประหนึ่งว่ามี "เศษแก้วเล็กๆๆๆ" หลุดเข้าไปในกระแสเลือดของเรา
เศษแก้วนี้เมื่อล่องลอยไป ก็จะไปบาดเซลล์ของเราให้เป็นแผลในทุก ๆ ที่ที่มันผ่านไป (เค้าว่าเป็นล้าน ๆ รอยบาดเลยค่ะ)
วิดีโอนี้จะทำให้เพื่อน ๆ เห็นภาพว่า มันทำลายเซลล์และบาดเซลล์ของเราอย่างไรค่ะ
ซึ่งคราวนี้ ลองเปลี่ยนเจ้าเศษแก้วเป็นอนุมูลอิสระค่ะ
เห็นรึยังคะ ว่า บาดแผลในเซลล์มันจะมีมากมายขนาดไหน ถ้าหากเพื่อน ๆ ได้รับอนุมูลอิสระผ่านสิ่งต่อไปนี้ค่ะ
- การสัมผัสกับสารเคมี (ตั้งแต่เครื่องสำอางค์ที่มีสารปรอท หรือสารเคมีอื่น ๆ, ยาสระผมที่มีสารเคมีเป็นองค์ประกอบหลัก, ยาย้อมผม, ครีมนวด, โลชั่นทาผิว ฯลฯ)
- มลพิษในอากาศและในน้ำ
- สารพิษ
- การทานอาหารที่ทำให้เกิดการอักเสบ (อย่างเช่น นมจากสัตว์, ผลิตภัณฑ์จากนม, น้ำตาล เป็นต้น แต่บางคนก็เกิดปฏิกิริยาอักเสบกับอาหารที่ต่างไปค่ะ เ่ช่นอาจเป็นหน่อไม้หรือมะนาว )
- สารเคมีและสารปรุงแต่งอาหารในอาหาร
- ทานอาหารที่เราแพ้
- อาหารไม่ย่อย หรือระบบย่อยอาหารเสื่อม (เช่นว่าทานเผ็ดจัดจนรบกวนระบบย่อยอาหาร) ซึ่งจะนำไปสู่การเน่าเปื่อยของอาหารและเกิดพิษ
- แบคทีเรีย
- นอนหลับไม่เพียงพอ
- ความเครียด
- วิถีชีวิตที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว (เช่นทำงานทั้งวัน ตกเย็นกลับบ้านเลย เสาร์อาทิตย์ทำโอที ยกเว้นงานที่ได้เดินทางไปนู่นมานี่นะคะ หรือคนที่เล่นคอมทั้งวัน และไม่ได้ออกกำลัง หรือ การนอนดูทีวีั้ทั้งวัน เป็นต้น)
ซึ่งนั่นหมายความว่า ทุกขณะเวลา ร่างกายของเราเองก็มีอนุมูลอิสระเกิดขึ้นอยู่แล้ว
ซึ่งโดยปกติ ร่างกายจะสร้างสาร "ต้านอนุมูลอิสระ" ขึ้นมาเพื่อกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นนี้ค่ะ
และก็จะเป็นกลไกปกติที่นำร่างกายเข้าสู่สมดุล
แต่ เนื่องจากชีวิตของคนในปัจจุบันนี้ มีการกินอาหารปรุงแต่งกันมาก กินข้าวขัดขาว กินของที่ผ่านกระบวนการมาหลายขั้นตอน (หรือไ่ม่ใช่ของที่เป็นธรรมชาติโดยแท้ของมัน หรือใกล้เคียง)
และยังมีปัจจัยมากมายที่เรา "ชักศึก" เข้าบ้านมาเป็นเวลานานแสนนาน
ทำให้สารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายผลิตขึ้นเองไม่เพียงพอต่อการกำจัด "ข้าศึก"
ทำให้่ร่างกายของเราเกือบทุกส่วนผุพังในระดับเซลล์เป็นจำนวนมาก
การอักเสบเรื้อรังเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต้องทำการรักษาเซลล์ที่บาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ไปเรื่อย ๆ (เหมือนกับสิวของเราที่ขึ้นมาเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น)
ตัวเรายังหดหู่ได้เลยค่ะ กับสิวที่ขึ้นไม่หยุด
และเพื่อน ๆ ไม่คิดว่า การที่ต้องทำอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทุกวัน ถึงแม้มันจะน้อย แต่ทำบ่อย ๆ มันก็สามารถทำให้รู้สึกเซ็ง และเหนื่อยใจได้เหมือนกันเหรอคะ
ซึ่งการรักษาอาการบาดเจ็บเหล่านี้บ่อย ๆ ถี่ ๆ (หรือที่เรียกว่าการอักเสบเรื้อรัง) จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราโดนกระตุ้นเตือนตลอดเวลา (on high alert) ซึ่งนี่แหละ่ค่ะที่ำทำให้ร่างกายเกิดความเครียดของเค้าเอง และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราทั้งหมดลดลงไปอย่างมาก (เพราะเหนื่อยเหลือเกิน ไม่รู้ว่างานจะเสร็จเมื่อไหร่)
นอกจากภาวะแบบนี้ทำให้เกิดสิวแล้ว ยังนำไปสู่หัวใจวาย โรคเบาหวาน และโรคเรื้อรังอื่น ๆ
และเมื่อระบบภูมิคุ้มกัน (หรือภาษาชีวจิตเค้าเรียกว่า "ภูมิชีวิต" หรือหมอจีนเค้าเรียกว่า "ชี่") อ่อนแอแล้วนั้น ก็จะทำให้แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิวเพิ่มจำนวนเท่าทวีคูณจนเกินกว่าที่เราจะควบคุมได้ และมันก็จะยึดรูขุมขนเราเป็นเขตแดนของมันเลยทีเดียวค่ะ
และนอกจากนี้ การอักเสบเรื้อรัง ยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราเริ่มมีแนวโน้ม Overacting หรือเริ่มตอบสนองสิ่งแปลกปลอมเกินกว่าเหตุ
เรามาทบทวนกันนะคะ
การแกว่งของน้ำตาลในเลือดทำให้เกิดการผลิตน้ำมันจำนวนมากบนหน้า และยังทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน คราวนี้มันมาผสมผสานกับการอักเสบเรื้อรังที่ทำให้ p.acne (แบคทีเรียสาเหตุของสิว) เพิ่มจำนวนตัวเอง ขยายพันธุ์ในรูขุมขนที่อุดตันของเรา และยิ่งผสานเข้ากับพลัง Overacting ของระบบภูมิคุ้มกันของเราที่ทำเกินกว่าเหตุ (เช่นว่า เชื้อโรคมันนิดเดียว ซึ่งใช้มือจับก็คงจะอยู่แล้ว แต่นี่เค้าใช้บาซูก้ายิงกันเลยค่ะ) และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ สิวอุดตันเล็ก ๆ ทั้งหัวดำหัวขาว กลายสภาพสิวหนองขนาดใหญ่และแดงชัดเจน
รูขุมขนที่อุดตัน + น้ำมันส่วนเกิน + แบคทีเรียจำนวนมากเกินไป + การอักเสบ = สิว
ซึ่งสังเกตมั้ยคะ ว่ามันเกิดจากภายในร่างกายของเรา จากวิถีชีวิตของเราที่ชักศึกเข้าบ้าน
และคุณ Seppo ยังบอกอีกว่า กว่าที่มันจะึขึ้นมาเป็นสิวให้เราเชยชมได้นี้ มันอาศัยเวลาในการ "ก่อตัว" ค่ะ
และทำไมเราึจึงเป็นสิวต่อเนื่อง ก็เพราะเรามี "เชื้อเพลิง" ก่อสิวอยู่ในตัวเรามากมายในตอนนี้
การจะทำให้มันหายไป ไม่ได้ใช้เวลาข้ามคืน หนึ่งสัปดาห์ (แต่บางคนที่พึ่งเิริ่มเป็นและดูแลตัวเองถูกวิธี ก็สามารถหายได้เร็วเช่นกัน แต่บีมพูดถึงคนที่เ็ป็นมานาน รักษากับหมอ กินยามานานๆ ค่ะ)
เพราะตอนที่เราสะสมนั้น เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเราเริ่มสะสม "เชื้อเพลิง" นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะนานกว่า 10 ปีก็ได้ค่ะ (อย่างเช่นบีม ก็ตั้งแต่บีมเริ่มกินนม กินไก่ KFC ไก่ทอดทุกวันเพราะอยากสูง กินแป้ง กินเค้ก เครียด กลัวเรียนไม่เก่ง สารพัดอย่างค่ะ ตอนทำงานก็เครียดกับงานมาก เครียดกับงานก็ออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ไปเที่ยวกลางคืน ก็ยอมรับว่ามีค่ะ และนั่นก็ดำเนินมาเป็นเวลามากกว่า 10 ปี และไหนจะกินยาหมอ ทายาหมออีก แต่ตอนนี้หยุดหมดทุกอย่างแล้วค่ะ :-))
ซึ่งเพื่อน ๆ ก็คงจะมองเห็นแล้วว่า การที่เราสะสม "เชื้อเพลิง" มาแต่ไหนแต่ไรนั้น ทำให้เราบอกได้ยากว่าร่างกายของเรานี้ มีอะไรที่เป็นสาเหตุให้ ระดับน้ำตาลในเลือดเราแกว่ง หรือ เกิดการอักเสบเรื้อรัง
อย่างของบีม บีมก็บอกไม่ได้ว่า เป็นที่ยาหมอ หรือ อาหาร หรือความเครียดของบีมเอง ความคิดด้านลบ บีมไม่สามารถบอกได้ แต่ทั้งหมดนั้นก็ทำให้บีมเป็นสิวเรื้อรังนั่นเอง
และบทถัดไปบีมจะมาพูดถึง Baseline of Health ค่ะ หรือ เส้นมาตรฐานสุขภาพ ซึ่งคราวนี้จะทำให้ทุกคนร้องอ๋อ..มันเป็นอย่างนี้นี่เอง มากกว่าเดิมซะอีกค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ Clear For Life เขียนโดย Mr.Seppo Puusa หน้า 17-18
และคุณ Seppo ยังบอกอีกว่า กว่าที่มันจะึขึ้นมาเป็นสิวให้เราเชยชมได้นี้ มันอาศัยเวลาในการ "ก่อตัว" ค่ะ
และทำไมเราึจึงเป็นสิวต่อเนื่อง ก็เพราะเรามี "เชื้อเพลิง" ก่อสิวอยู่ในตัวเรามากมายในตอนนี้
การจะทำให้มันหายไป ไม่ได้ใช้เวลาข้ามคืน หนึ่งสัปดาห์ (แต่บางคนที่พึ่งเิริ่มเป็นและดูแลตัวเองถูกวิธี ก็สามารถหายได้เร็วเช่นกัน แต่บีมพูดถึงคนที่เ็ป็นมานาน รักษากับหมอ กินยามานานๆ ค่ะ)
เพราะตอนที่เราสะสมนั้น เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเราเริ่มสะสม "เชื้อเพลิง" นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะนานกว่า 10 ปีก็ได้ค่ะ (อย่างเช่นบีม ก็ตั้งแต่บีมเริ่มกินนม กินไก่ KFC ไก่ทอดทุกวันเพราะอยากสูง กินแป้ง กินเค้ก เครียด กลัวเรียนไม่เก่ง สารพัดอย่างค่ะ ตอนทำงานก็เครียดกับงานมาก เครียดกับงานก็ออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ไปเที่ยวกลางคืน ก็ยอมรับว่ามีค่ะ และนั่นก็ดำเนินมาเป็นเวลามากกว่า 10 ปี และไหนจะกินยาหมอ ทายาหมออีก แต่ตอนนี้หยุดหมดทุกอย่างแล้วค่ะ :-))
ซึ่งเพื่อน ๆ ก็คงจะมองเห็นแล้วว่า การที่เราสะสม "เชื้อเพลิง" มาแต่ไหนแต่ไรนั้น ทำให้เราบอกได้ยากว่าร่างกายของเรานี้ มีอะไรที่เป็นสาเหตุให้ ระดับน้ำตาลในเลือดเราแกว่ง หรือ เกิดการอักเสบเรื้อรัง
อย่างของบีม บีมก็บอกไม่ได้ว่า เป็นที่ยาหมอ หรือ อาหาร หรือความเครียดของบีมเอง ความคิดด้านลบ บีมไม่สามารถบอกได้ แต่ทั้งหมดนั้นก็ทำให้บีมเป็นสิวเรื้อรังนั่นเอง
และบทถัดไปบีมจะมาพูดถึง Baseline of Health ค่ะ หรือ เส้นมาตรฐานสุขภาพ ซึ่งคราวนี้จะทำให้ทุกคนร้องอ๋อ..มันเป็นอย่างนี้นี่เอง มากกว่าเดิมซะอีกค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ Clear For Life เขียนโดย Mr.Seppo Puusa หน้า 17-18
ความคิดเห็น