บริษัท ตับกำจัดสิว จำกัด (ตอนที่ 2)

วันนี้ตื่นตีสี่กว่า ๆ ค่ะ คิดว่าสมองโปร่ง ๆ ดี ก็ว่าจะนั่งทำงาน ก็คิดอยู่ว่าจะทำอะไรเพราะมีหลายอย่าง คิดไปคิดมา คิดว่าเขียนบล็อกก่อนก็แล้วกัน เพราะคงจะมีเพื่อน ๆ หลายคนคอยติดตามอยู่เกี่ยวกับเรื่องตับนะคะ และบีมก็คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทำด้วย เพราะตอนนี้มีเพื่อน ๆ หลายคนที่กำลังพยายามปรับพฤติกรรมและล้างพิษให้กับร่างกายอยู่ด้วย บีมจะจัดให้เป็น First priority สำหรับวันนี้ค่ะ เพราะถ้านั่งเขียนระหว่างวันคงจะไม่เสร็จแน่ ๆ เลย ^^ เพราะจะมีงานนู่นนี่นั่นจุ๊กจิ๊กเข้ามาตลอดค่ะ

ต่อจากคราวที่แล้ว เพื่อน ๆ คงจะเริ่มตระหนักว่า "พิษ" "ตับ" "สุขภาพ" นั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร

ครั้งนี้บีมจะพาเพื่อน ๆ มาเรียนรู้เกี่ยวกับ

"ประเภทของพิษ และ กระบวนการกำจัดสารพิษของตับ" และอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นในแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน หรือบางคนไม่เกิดเลย"

เริ่มเลยนะคะ...

ประเภทของพิษ
พิษ (Toxin) ในร่างกายของเรานั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
  1. พิษที่ได้รับมาจากภายนอก (Exotoxins) เช่น มลภาวะทางอากาศ ทางน้ำ ยา สารเคมี อาหาร ที่เราได้รับทางปากหรือซึมเข้าทางผิวหนัง
  2. พิษที่เกิดขึ้นภายในร่างกายเอง (Endotoxins) เช่น การหลั่งสารพิษบางอย่างจากแบคทีเรียในลำไส้ หรือแม้แต่กระบวนการหายใจของเราตามปกติที่เกิดขึ้นจากการหายใจเข้า - ออกก็จะทำให้เกิดสารบางอย่างที่มีพิษต่อร่างกายและจะต้องอาศัยกระบวนการทำงานของตับในการทำให้หมดสภาพเป็นพิษไป เช่น กรดแลคติค กรดไพยูริค ยูเรีย และอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ การที่เราได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (เน้นว่า "สารอาหาร" ไม่ใช่ "อาหาร" นะคะ ไม่เหมือนกัน คนทานข้าวมาก ไม่จำเป็นว่าต้องได้รับ "สารอาหาร" มากกว่า) หรือการได้รับสารอาหารไม่ถูกสัดส่วนก็ทำให้กระบวนการล้างพิษของร่างกาย (ร่างกายมีกระบวนการนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าขาดการดูแลที่ดีจะเสื่อมประสิทธิภาพ) ได้รับผลกระทบ ทำงานได้ไม่เต็มที่ และสุดท้าย แม้แต่ในกระบวนการล้างพิษเองนั้น ก็ยังสามารถผลิตพิษที่จะทำร้ายเซลล์ออกมาได้เช่นกัน
พิษจากภายนอกนั้น เราทราบกันดีอยู่แล้วค่ะว่า มันมายังไงและทำร้ายเซลล์อย่างไร (แต่ถ้าจะให้เห็นภาพมากขึ้น บีมแนะนำว่าพยายามหาวิดีโอประเภท animation ดูค่ะ หรือจะดูที่เค้าใช้กล้องเข้าไปถ่ายข้างในเลยก็ได้ค่ะ)

ดังนั้น บีมจะขอเน้นพิษจากภายในแทน เพราะเป็นสิ่งที่อยู่ในตัวเราเองแต่เราไม่ได้ตระหนักถึงพิษที่เกิดจากภายในกันมากสักเท่าไหร่เพราะเรารู้สึกว่า เราเองก็ยังหายใจได้ ปกติสุขดี แต่สภาวะที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงว่าร่างกายเราจะไม่มีพิษค่ะ แต่ที่เราสบายดีเพราะสิ่งต่าง ๆ ภายในร่างกายนั้น ทั้ง แบคทีเรีย อนุมูลอิสระ เม็ดเลือด ฯลฯ อยู่ด้วยกันอย่างสมดุล และมีการแย่งชิงพื้นที่และพลังงานกันตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้ตัว ถ้าฝ่ายหนึ่งแข็งแรงกว่า (ระบบภูมิคุ้มกันของเราและเจ้าแบคทีเรียประเภท probiotics และระบบกำจัดพิษและของเสียของร่างกาย) ก็จะควบคุมอีกฝ่ายได้อย่างอยู่หมัด ส่งผลให้เราสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก (แน่นอนค่ะ รวมทั้งผิวหนังด้วย)

ก่อนอื่น อยากให้ดูวิดีโอนี้ค่ะ เป็นการอธิบายเกี่ยวกับ probiotics แต่ว่ามันจะมีภาพของเจ้าแบคทีเรียที่ทำร้ายเซลล์อยู่ด้วย (เป็นภาษาอังกฤษนะคะ ถ้าหากว่าใครไม่ค่อยคล่องภาษาอังกฤษ ไม่ต้องซีเรียสค่ะ ดูภาพไปเรื่อย ๆ และจินตนาการเพิ่มอีกนิดหน่อยค่ะ เอาให้พอมองเห็นภาพ)



เจ้าแท่งเล็ก ๆ สีเขียว ๆ ที่เกาะอยู่ตามเซลล์นั้นเป็นแบคทีเรียประเภทที่จะคอยสร้างสารพิษทำลายเซลล์ ซึ่งเค้าได้บรรยายว่า แบคทีเรียเหล่านี้สามารถถูกกำจัดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่ยาดังกล่าวสามารถทำลายล้างแบคทีเรียได้ทุกประเภทรวมทั้งตัวที่ดีด้วย นอกจากนี้ แบคทีเรียเหล่านี้ สามารถกลับเข้ามาใหม่ได้ผ่านน้ำและอาหารที่ปนเปื้อนแบคทีเรียเหล่านี้ (ถ้าฟังไม่ผิด รู้สึกเค้าจะพูดว่า แบคทีเรียที่ว่านี้จะพบในทวีปเอเชียค่ะ คือ บ้านเราคงเป็นเขตร้อน เมืองหนาวคงจะไม่ค่อยมีแบคทีเรียที่ว่านี้ ฝรั่งเค้าถึงระวังเรื่องอาหารการกินเวลามาประเทศแถบเอเชียค่ะ จะเห็นว่าเค้าจะท้องเสียกันง่ายมากถ้ากินอะไรที่ผิดสำแดงหรือกินไม่ระวัง เค้าจะต้องกินของที่สุกและสะอาด ส่วนน้ำจะเห็นว่าเค้าจะไม่ค่อยดื่มน้ำที่ตักมาจากกระติกบริการตัวเองฟรี แต่เค้ามักจะซื้อเป็นขวดดื่มแทนและไม่ใช้หลอด เพราะหลอดสกปรก เห็นเค้าว่างั้นนะคะ แต่ฝรั่งบางคนก็ไม่เป็น)

อันนี้เป็นแค่ animation ส่วนหนึ่งค่ะ ทำออกมาน่ารักเชียว แต่ถ้าลองค้นหาดูวิดีโอเกี่ยวกับแบคทีเรียเพิ่มขึ้นจะรู้สึกว่าไม่น่าพิศมัยเลยค่ะ แถมพวกนี้ยังโตเร็วด้วย ถ้าเรายิ่งไม่กินผักผลไม้ ไม่กินข้าวกล้อง ไม่กินอะไรที่จะช่วยแบคทีเรียที่ดีของเรา จะยิ่งทำให้พวกไม่ดีขยายตัวอย่างรวดเร็วครอบครองลำไส้ของเราไป ผลคือ พิษมหาศาลที่ถูกผลิตจากมัน ซึมผ่านเข้ากระแสเลือด คราวนี้ไปไหนก่อน...ไปตับค่ะ ตับต้องไปกรองเอาออกหรือทำให้หมดพิษ และถ้าตับต้องทำงานหนักทุกวันเพราะเจ้าแบคทีเรียพวกนี้ขยายตัว คงจะไม่ไหวค่ะ สักวันหนึ่งก็ต้องอักเสบหรือพังกันไปข้างนึง เมื่อนั้นล่ะ สิวในวัยผู้ใหญ่ หรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ ก็จะก่อตัวขึ้นแบบไม่ให้เราไหวตัวทันเลยทีเดียว

อันนี้เป็นอาหารว่างไปก่อนนะคะ นี่แค่ส่วนเดียวที่เป็นสาเหตุของพิษภายในร่างกาย ไว้ถ้ามีเวลามากกว่านี้จะหาวิดีโอที่น่าสนใจเกี่ยวกับพิษภายในมาให้ดูเพิ่มเติมนะคะ

เอาล่ะค่ะ ส่วนพิษอีกอันหนึ่งเป็นพิษที่เราคาดไม่ถึง แต่ว่ามันมีอยู่จริง ๆ แต่ที่เราไม่รู้สึกเพราะตับของเราทำงานกำจัดเค้าตลอดเวลา แต่ถ้าตับเสื่อม ก็จะไม่สามารถกำจัดได้หมดค่ะ ยิ่งถ้าใครมีช่องทางระบายพิษที่อุดตันหรือทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพเช่น ชอบหายใจสั้น ๆ ก็จะเอา CO2 หรือคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการที่เซลล์เผาผลาญสารอาหารมาใช้งานออกมาไม่ได้มาก เมื่อก๊าซตัวนี้มีอยู่ในร่างกายมาก ๆ และผสมกับเลือด จะทำให้เลือดเป็นกรด เหมือนกับที่เค้าอัดก๊าซตัวนี้ลงในน้ำอัดลมนี่ล่ะค่ะ เลือดเราก็จะเป็นน้ำอัดลมอ่อน ๆ กัดเนื้อเยื่อ กัดเซลล์ให้ผุกร่อนไป พอผุแล้ว พิษและแบคทีเรียหรือเชื้อโรคในเลือดก็จะซึมเข้าไปได้ ทำร้ายเซลล์ให้อ่อนแอลงไปอีก

ทางอื่นก็เช่นกัน ไม่ว่าจะลำไส้ ผิวหนัง ไต ถ้าบกพร่องหรืออุดตันขึ้นมา ร่างกายของเราจะเป็นบ่อกักของเสียดี ๆ นี่เองค่ะ

พิษอันนี้เกิดจากการหายใจในระดับเซลล์ค่ะ (Cellular Respiration) เป็นการหายใจที่เกิดขึ้นตลอดเวลาทุกเสี้ยววินาทีเพราะเซลล์ก็ต้องการพลังงานเอาไปทำกิจกรรม และในกระบวนการนี้จะได้พลังงานออกมาให้เซลล์ แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีของเสียด้วย หรือแม้แต่การกระบวนการทางชีวเคมีต่าง ๆ ในร่างกาย หรือแม้แต่การกำจัดของเสียหรือพิษในตับเองก็สามารถทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่สามารถทำร้ายเซลล์ได้เช่นกัน

สรุปว่าร่างกายเรา แม้จะอยู่ในที่สภาพแวดล้อมบริสุทธิ์เพียงใด ภายในร่างกายก็มีพิษเกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้ว

และระบบร่างกายก็ถูกสร้างสรรค์มาอย่างฉลาดเพียงพอที่จะกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปได้เองโดยสิ่งที่มีบทบาทสำคัญที่สุดคือ ตับ ค่ะ และของเสียที่ถูกเปลี่ยนให้อยู๋ในรูปไม่มีพิษแล้วจะถูกขับออกทางช่องทางระบายต่าง ๆ ตามที่กล่าวไปแล้ว

สมัยก่อน ตับสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพเพราะ
  1. พิษจากภายนอกที่เรารับเข้ามาน้อยกว่าปัจจุบันมาก
  2. วิถีชีวิตก่อนทุนนิยมครอบงำทั่วโลกนั้นเป็นวิถีที่เรียบง่ายและเหมาะกับธรรมชาติของมนุษย์มากกว่านี้
ร่างกายของมนุษย์สมัยใหม่จึงอ่อนแอลงด้วยประการฉะนี้ค่ะ

------------------------------------------------------------

ต่อไปเราจะมาพูดถึงกระบวนการกำจัดสารพิษของตับกันบ้างนะคะ part นี้เป็น part สำคัญที่เพื่อน ๆ ควรจะทำความเข้าใจให้ดีค่ะ เพราะมันจะสามารถอธิบายได้ว่าทำไมเวลาที่ร่างกาย detox แล้วจึงได้ผลลัพธ์ออกมาไม่เหมือนกัน

ก่อนอื่นเรามาเข้าใจคอนเซ็ปต์ของการกำจัดพิษหรือ Detox ของตับกันก่อนค่ะ

ในการ detox สารพิษนั้น ตับจะมีกลไกที่สามารถทำให้พิษที่โดยธรรมชาติแล้วเป็นสารที่ละลายในไขมันและด้วยคุณสมบัติที่เค้าละลายในไขมันนี้เองจึงทำให้ถูกกำจัดออกจากร่างกายไปได้ยาก

ลองนึกถึงเวลาที่เราเอาน้ำใส่รวมกับน้ำมันพืชค่ะ ส่วนที่เป็นพิษจะเป็นน้ำมัน ส่วนทางระบายพิษของเราส่วนใหญ่นั้นจะประกอบด้วยน้ำ

ส่วนที่เป็นน้ำหรือสามารถละลายในน้ำได้ เราจะเรียกว่า โมเลกุลแบบมีขั้ว (polar molecule) ลักษณะจะเป็นแบบนี้ค่ะ นี่เป็นโมเลกุลของน้ำ จะมี + มี - อยู่ที่ขั้วของโมเลกุล


และนี่เป็นรูปเปรียบเทียบ โมเลกุลแบบมีขั้ว (ซ้าย) กับ โมเลกุลแบบไม่มีขั้ว (ขวา)


เราจะไม่เจาะลึกไปมากกว่านี้นะคะ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นเรื่องยากไป ขอแค่เราเข้าใจว่า พิษส่วนใหญ่ที่เข้าสู่ร่างกายของเราหรือที่ร่างกายผลิตขึ้นเองนั้นมักจะเป็นแบบไม่มีขั้ว (รูปขวา) พอเป็นแบบนี้เลยถูกกำจัดออกไปจากร่างกายได้ยาก และส่วนใหญ่พิษจะสะสมอยู่ที่ชั้นไขมันของเซลล์ทั่วร่างกายแล้วแต่ว่ามันจะลอยไปที่ไหน

เซลล์ของตับเองก็เป็นเซลล์ที่มีชั้นไขมันเหมือนกับเซลล์อื่น ๆ ทั่วร่างกายเพียงแต่เค้าทำหน้าที่ต่างไปจากกลุ่มเซลล์อื่น ๆ ของร่างกายเท่านั้นเอง ดังนั้น พิษที่เราได้รับจากทั้งภายนอกและภายในจึงสามารถสะสมในเซลล์ตับได้ถ้าหากว่าเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปและตับกำจัดออกไม่ทัน

และเป็นเหตุผลว่าทำไม Oil Pulling จึงมีบทบาททางด้าน Detox ด้วยเหตุผลว่า เป็นวิธีที่สามารถดึงเอาพิษออกจากร่างกายที่เป็นพวกละลายในไขมันได้นั่นเองค่ะ

คราวนี้เราจะมารู้จักว่าตับทำงานกำจัดพิษอย่างไรนะคะ

การกำจัดพิษของตับจะมี 2 ขั้นตอน หรือ 2 รูปแบบ บางครั้งตับก็จะข้ามขั้นตอนที่ 1 (phrase 1) ไปเลยและเข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 (phrase 2) ไปเลย ดูตามรูปด้านล่างนี้นะคะ


จะเห็นว่า phrase 1 นั้นจะมีกลุ่มเอ็นไซม์ Cytochrome P450 (ประกอบด้วยเอ็นไซม์ 50-100 ชนิด) มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนให้พิษที่มีคุณสมบัติละลายในไขมันเป็นโมเลกุลที่ละลายในน้ำได้มากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมให้เข้าสู่ phrase 2 ที่จะเป็นกระบวนการที่ทำให้โมเลกุลที่ได้จาก phrase 1 นั้นไม่มีพิษและสามารถละลายน้ำได้อย่างสมบูรณ์

ในแต่ละ phrase นั้นจะต้องการสารอาหารที่ช่วยในกระบวนการกำจัดพิษดังนี้ ดูใต้หัวข้อ Required nutrients ค่ะ


ดูรูปเพิ่มเติมและละเอียดกว่านี้ได้ที่เอกสารนี้ค่ะ http://www.pkdiet.com/pdf/FLDP%20Guide.pdf

และนี่คือความรู้ใหม่ของบีมเช่นกัน และเป็นสิ่งที่บีมแนะนำเพื่อน ๆ ในช่วงหลังนี้ว่า เราควรทานโปรตีนจากธัญพืชไปด้วย เช่น น้ำเต้าหู้หรือนมจากธัญพืชไปด้วยในระหว่างที่ทำการล้างพิษ เพราะตับจำเป็นต้องใช้กรดอะมิโนอันจะได้จากอาหารประเภทโปรตีน เพราะเอ็นไซม์ถูกสังเคราะห์จากกรดอะมิโน และการที่ตับกำจัดพิษนี้ต้องใช้เอ็นไซม์จำนวนมากด้วย

ที่ไม่แนะนำเนื้อสัตว์เพราะเนื้อสัตว์แม้จะมีโปรตีนสูง แต่ก็ย่อยยากและร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้กินเนื้อ ไม่เหมือนแมวหรือเสือ ดังนั้น แทนที่จะได้อะมิโนเต็มเม็ดเต็มหน่วย กลับจะได้กากอาหารที่ย่อยไม่ได้คั่งค้างในลำไส้แทน เป็นอาหารให้แบคทีเรียตัวร้ายอีกต่างหาก

(ยกเว้นปลาค่ะ อันนั้นย่อยง่าย)

ซึ่งกรดอะมิโนนั้นมี 2 แบบคือ แบบที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เองกับที่ต้องได้รับจากอาหาร

ดังนั้นในช่วงที่ทำการล้างพิษร่างกาย บีมจึงคิดว่าจำเป็นที่ร่างกายต้องได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอ แต่ด้วยความที่บีมไม่ได้เรียนทางด้านโภชนาการบำบัดมา จึงไม่แน่ใจว่าจะต้องบริโภคเข้าไปเท่าไหร่นะคะ ตรงนี้เพื่อน ๆ อาจจะลองเสาะหาข้อมูลดูค่ะหรือสอบถามผู้รู้

และที่สำคัญก็คือ ใน phrase 1 นี้นอกจากจะทำให้พิษนั้นกลายเป็นโมเลกุลที่สามารถละลายน้ำได้มากขึ้นแล้ว แต่ก็มีผลข้างเคียงคือ
  1. สารที่ได้จาก phrase 1 นี้อาจมีพิษรุนแรงกว่าสารตั้งต้นหรือตัวพิษตั้งต้น
  2. เกิดอนุมูลอิสระขึ้นอย่างมากมาย
ดังนั้น ถ้าหากร่างกายของเราไม่มี "สารต้านอนุมูลอิสระ" อย่างเพียงพอที่จะช่วยป้องกันความเสียหายจากการที่อนุมูลอิสระที่ถูกปล่อยออกมาจากกระบวนการนี้แล้ว ก็จะทำให้เนื้อเยื่อและเซลล์ของเราถูกทำลายไม่ต่างจากที่เราหายใจหรือรับเอาพิษจากภายนอกเข้าไปเลยค่ะ

และเมื่อมาถึง phrase 2 นั้นจะมีกระบวนการทางชีวเคมีที่จะเปลี่ยนสารที่ได้จาก phrase 1 ให้ละลายน้ำและหมดพิษอย่างสมบูรณ์แบบโดยเรียกว่า Conjugation ซึ่งมันจะทำอย่างไร เราคงจะไม่ไปดูในรายละเอียด แต่สิ่งที่บีมได้จากข้อมูลที่ได้ศึกษามาในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ พบว่าในขั้นตอนที่ 2 นี้ นอกจากสารอาหารที่สนับสนุนการทำงานของตับตามรูปภาพด้านบนแล้ว กลูต้าไธโอนยังมีบทบาทสำคัญมากทั้งในการทำงานของทั้ง 2 ขั้นตอน

นี่เป็นการตอบคำถามที่อยู่ในหัวบีมอีกข้อหนึ่งว่า ทำไมร้านขายของบางร้านจึงโฆษณาว่าการทานกลูต้าไธโอนจึงช่วยให้สิวหายได้ ซึ่งตอนแรกบีมคิดเพียงว่ามันจะช่วยทำให้ขาวใสเท่านั้นค่ะ

ซึ่งถ้าเป็นกลูต้าจริง ๆ อย่างที่เป็นอาหารเสริมที่ขายในอเมริกา ก็จะช่วยส่งเสริมการทำงานล้างพิษของตับได้และไม่สะสมในร่างกายถ้าทานในปริมาณที่เหมาะสม (ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงต้องอยู่ในการดูแลของนักโภชนาการหรือแพทย์ เพราะดูเหมือนว่ามันจะต้องมีการเช็คว่าร่างกายของเรามันขาดเหลืออะไรเท่าไหร่ และควรรับเข้าไปเท่าไหร่จึงจะเหมาะสมค่ะ)

และกลูต้าบ้านเราบีมก็ไม่ทราบว่าอันไหนเป็นอย่างไรค่ะ ถ้าจะเลือกใช้ก็พิจารณาแหล่งที่มากันให้ดี ๆ นะคะ ไม่งั้นแทนที่ตับจะได้ของมีประโยชน์กลับจะเป็นโทษแทนค่ะ

กล่าวโดยสรุปนะคะ
  • การกำจัดพิษของตับมี 2 ขั้นตอนโดยมีจุดประสงค์หลักในการเปลี่ยนพิษซึ่งเป็นโมเลกุลไม่ละลายน้ำให้ละลายน้ำได้และหมดพิษไปเพื่อเตรียมพร้อมสู่การขับออกจากร่างกาย โดยหลัก ๆ แล้วคือทางไตกับน้ำดี (ซึ่งน้ำดีจะขนพิษออกมาไว้ที่ลำไส้ใหญ่ ถ้าเราไม่ถ่ายพิษก็ถูกดึงกลับหรือคั่งค้างอยู่ที่นั่นค่ะ)
  • ในขั้นตอนแรกจะทำให้ได้โมเลกุลที่ละลายน้ำได้มากขึ้นแต่ก็จะอาจจะมีพิษมากกว่าสารตั้งต้นและยังทำให้เกิดอนุมูลอิสระมากมายด้วย จึงจำเป็นต้องมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มากเพียงพอเพื่อจัดการกับอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากขั้นตอนที่ 1 นี้
  • การได้รับสารอาหารที่จำเป็นและสนับสนุนการทำงานของตับเป็นสิ่งที่ควรทำในระหว่างล้างพิษร่างกายเพื่อให้ตับทำงานกำจัดพิษได้เต็มประสิทธิภาพและป้องกันร่างกายถูกทำร้ายจากอนุมูลอิสระและพิษจากขั้นตอนที่ 1
  • หากได้รับสารอาหารที่สนับสนุนการทำงานของตับไม่เต็มที่ หรือพร่องไป (ขาดสารอาหารจำเป็น) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนที่ 2 ของการกำจัดพิษจะทำให้ขั้นตอนที่ 1 และ 2 ทำงานไม่สมดุลกัน เป็นผลทำให้ร่างกายอ่อนเพลียหรืออาการขับพิษร้ายแรงกว่าผู้ที่มีการทำงานของทั้ง 2 กระบวนการสมดุลกัน (เหมือนกับ 2 แผนกที่ทำงานด้วยกัน แผนกแรกทำได้มากกว่าแผนกที่ 2 ก็จะเกิดงานที่คั่งค้างจากแผนกที่ 1 ซึ่งมักเป็นส่วนที่ยังเป็นพิษอยู่ออกมาอย่างมากมาย ถ้าแผนกที่ 2 เอื่อยเฉื่อย ไม่ได้กินข้าว ไม่มีแรง เจ้านายไม่สนับสนุน ฯลฯ ก็จะทำให้ร่างกายของคนนั้นได้รับผลจากพิษที่มากขึ้นมากกว่าที่จะได้รับผลจากการล้างพิษในทางที่ดี)
------------------------------------------------------------
สาเหตุที่คุณอ่อนเพลียหรืออาการดูแย่กว่าตอนไม่ล้างพิษอีก
  • เพราะประสิทธิภาพและความเร็วในการทำงานของขั้นตอนที่ 1 กับ 2 ของคุณไม่สมดุลกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขั้นตอนที่ 2 ที่หย่อนสมรรถภาพอันเนื่องมาจากการขาดสารอาหารที่จะสนับสนุนการทำงานของเขา
  • พิษและอนุมูลอิสระที่ได้จากข้ันตอนที่ 1 นั้นออกมาตามกระแสเลือดและสามารถทำร้ายเซลล์และเนื้อเยื่อได้หากไม่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เพียงพอ (เป็นเหตุผลว่าในช่วงล้างพิษทำไมจึงควรทานน้ำปั่นผักและผลไม้มาก ๆ เพราะผักและผลไม้ให้สารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของตับและมีสารต้านอนุมูลอิสระมาก ถ้าไม่สะดวกทานผักผลไม้ปั่นให้เลือกอาหารเสริมที่มีฤทธิ์ส่งเสริมการทำงานของตับและต้านอนุมูลอิสระสูง ๆ แต่ทานของสดจะดีที่สุด เพราะผักผลไม้ปั่นยังให้ไฟเบอร์ช่วยกวาดลำไส้อีกด้วยพร้อมกระตุ้นการทำงานของลำไส้ให้เป็นปกติ และยังเป็นอาหารของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ด้วยค่ะ)
ดังนั้น ในคนที่เป็นสิวหรือเป็นโรคเรื้อรังและขาดสารอาหารที่จำเป็นมาเป็นเวลานานนั้น หากต้องการอดอาหารล้างพิษหรือล้างพิษด้วยวิธีต่าง ๆ ควรตระหนักถึงการรับสารอาหารที่จำเป็นต่อการ
  1. สนับสนุนการทำงานของตับโดยเฉพาะอย่างยิ่งขั้นตอนที่ 2
  2. ต้านอนุมูลอิสระในปริมาณมาก ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มันทำร้ายเซลล์และเนื้อเยื่อ (ซึ่งอนุมูลอิสระจะเกิดขึ้นมากในขั้นตอนที่ 1 ของการกำจัดพิษ)
จะเลือกเป็นอาหารเสริม อาหารสด หรือสมุนไพรก็ได้ค่ะ ขอให้ปลอดภัยและออกฤทธิ์ตามที่บอก

และระยะเวลาการล้างพิษนั้นไม่ควรเกิน 1 สัปดาห์และควรค่อย ๆ เสริมอาหารปกติเข้าไป ไม่ใช่ว่า 7 วันล้างพิษแล้วรู้สึกดีแล้ว วันที่ 8 ไปทานพิซซ่าเลย แบบนั้นร่างกายช็อคแน่นอน (ไม่ได้หมายถึงช็อคเป็นลมอะไรแบบนั้นนะคะ แต่หมายถึงว่า ร่างกายจะปรับตัวไม่ทัน ทำให้เกิดอาการไม่สบายตัวต่าง ๆตามมาได้ค่ะ)

หวังว่าบทความนี้คงจะทำให้เห็นภาพและเข้าใจการทำงานของตับมากขึ้นและเพื่อน ๆ สามารถอดอาหารหรือล้างพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้นนะคะ

ณ จุดนี้ บีมต้องขอออกตัวก่อนว่าบีมไม่ทราบปริมาณที่เหมาะสมสำหรับสารอาหารที่จะต้องใช้นะคะเพราะไม่ใช่นักโภชนาการและไม่ได้ให้การตรวจรักษา บีมเพียงแต่พยายามนำเสนอข้อมูลที่จะทำให้เพื่อน ๆ ได้เข้าใจกระบวนการของมันมากขึ้น รับมือกับการล้างพิษได้ดีขึ้นในครั้งต่อไปเท่านั้นเองค่ะ

หากเพื่อน ๆ ต้องการทำโภชนาการบำบัด ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญโดยตรงค่ะ ซึ่งสามารถสอบถามได้กับบุคลากรทางด้านสาธารณสุขในแนวแพทย์ทางเลือกหรือด้านชะลอความชรา (Anti-Aging) ค่ะ

(เขียนเสร็จตอน 8.16 น.ค่ะ เวลาเขียนบล็อกจะใช้เวลานานค่ะ จึงต้องรอให้ว่างจริง ๆ เลยเลื่อนการอัพบล็อกมาซะหลายวันค่ะ ก็ด้วยเหตุผลที่อยากให้บทความมีคุณภาพนี่ล่ะค่ะ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ)

ความคิดเห็น